ประวัติ วัดมกุฏกษัตริยารามราชวรวิหาร  กรุงเทพฯ 

วัดมกุฏกษัตริยารามราชวรวิหาร จากประวัติความเป็นมาของ วัดมกุฏกษัตริยารามราชวรวิหาร นั้นว่ากันว่าถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่ในสมัยของบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

โดยมีวัตถุประสงค์อย่างที่จะให้มีวัดเกิดขึ้นเยอะๆเหมือนกับสมัยของกรุงศรีอยุธยาดังนั้นหลายจากที่มีการขุดคลองผดุงกรุงเกษมเสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้วพระองค์จึงได้มีการส่งโปรดเกล้าให้มีการสร้างวัดบริเวณชายคลอง

  ซึ่งในตอนแรกนั้นมีการเริ่มสร้างวัดโสมนัสราชวรวิหาร  หลังจากนั้นจึงได้มีการโปรดเกล้าให้สร้าง วัดมกุฏกษัตริยารามราชวรวิหาร ขึ้นมาเพื่อให้เปลี่ยนวัดที่เคียงคู่กัน 

จากหลักฐานความเป็นมาของการก่อสร้างวัดนั้นไม่ได้มีการระบุว่าวัดแห่งนี้เริ่มมีการก่อสร้างขึ้น

เมื่อใดแต่มีการระบุเกี่ยวกับการก่อสร้างวัดหลังจากที่มีการแล้วเสร็จว่ามีการสร้างเสร็จสิ้นช่วงประมาณปีพ.ศ 2411    ซึ่งหลังจากที่มีการสร้างวัดแห่งนี้เสร็จสิ้นแล้วรัชกาลที่ 4 ก็ได้มีการโปรดเกล้าแต่งตั้งชื่อวัดว่าวัดนามบัญญัติ  ปัจจุบันวัดแห่งนี้ได้รับการเปลี่ยนชื่อใหม่ซึ่งเป็นชื่อพระราชทานโดยมีการเปลี่ยนชื่อภายหลังจากที่รัชกาลที่ 4 สวรรคตโดยชื่อใหม่นั้นก็คือ  วัดมกุฏกษัตริยารามราชวรวิหาร  นั่นเอง 

สำหรับผู้ที่เข้ามาดูแลในการก่อสร้าง วัดมกุฏกษัตริยารามราชวรวิหาร แห่งนี้ก็คือสมเด็จพระเจ้ายาบรมมหาศรีสวัสดิ์สุริยวงศ์

  โดยรับหน้าที่เป็นแม่กลองในการเข้าควบคุมเกี่ยวกับเรื่องของการก่อสร้างส่วนในช่างที่เป็นผู้ดูแลเกี่ยวกับการก่อสร้างโดยตรงนั้นก็คือพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมขุนราชสีห์หากวิกรม  

สำหรับ วัดมกุฏกษัตริยารามราชวรวิหาร เป็นวัดที่มีการก่อสร้างในช่วงยุคกรุงรัตนโกสินทร์  สิ่งที่เป็นหลักฐานทางประวัติอย่างดีที่บ่งบอกว่าวัดแห่งนี้สร้างในสมัยรัชกาลที่ 4

ก็คือ ลายพระมหามงกุฏ ซึ่งเป็นตราประจำของรัชกาลที่ 4 นั่นเอง โดยตราประทับนี้มีการสร้างเอาไว้ด้านบนของซุ้มประตูและที่หน้าบันของทั้งพระอุโบสถและพระวิหาร  นอกจากนี้ถ้าหากใครได้มีโอกาสเข้าไปเยี่ยมชมความงดงามภายในอุโบสถจะพบว่าผนังด้านในของพระอุโบสถนั้นมีการวาดภาพจิตรกรรมที่มีความแตกต่างจากวัดอื่นๆ 

โดยส่วนใหญ่แล้วจะมีการวาดภาพเกี่ยวกับการบำเพ็ญกรรมฐานของพระสาวกในบาลีและอรรถกถา  และยังมีอื่นๆอีกมากมาย 

สำหรับการก่อสร้างวัดมกุฏกษัตริยารามราชวรวิหาร นั้นมีลักษณะของการก่อสร้างคล้ายเคียงกับวัดโสมนัสวิหารเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นวัดที่สร้างคู่กัน ซึ่งความคล้ายคลึงกันนี้ก็คือ จะมีการสร้างเสมาเอาไว้ 2 ชั้น โดยชั้นแรกนั้น มีชื่อว่า มหาสีมา ส่วนชั้นที่สองนั้นเรียกว่า ขัณฑสีมา  ทำให้พระสงฆ์ที่อยู่ที่วัดแห่งนี้สามารถทำการประชุมสังฆกรรมได้ทั้งในพระอุโบสถและพระวิหารเลยทีเดียว 

 

ผู้ให้การสนับสนุนโดย  ufabet

ประวัติวัดอรุณเกาะรัตนโกสินทร์ กรุงเทพมหานคร   

วัดอรุณเป็นวัดทรงจรวดที่ตั้งตระหง่านจากริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา รู้จักกันในชื่อวิหารแห่งรุ่งอรุณ โดยตั้งชื่อตามเทพเจ้าแห่งรุ่งอรุณของอินเดียชื่ออรุณ ที่นี่เองหลังจากการล่มสลายของกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงสะดุดกับศาลท้องถิ่นเล็กๆ และทรงตีความการค้นพบนี้ว่าเป็นสัญญาณอันเป็นมงคลว่าที่นี่ควรเป็นที่ตั้งของเมืองหลวงแห่งใหม่ของสยาม  

ปัจจุบันวัดแห่งนี้เป็นหนึ่งในโครงสร้างที่โดดเด่นที่สุดของกรุงเทพฯ ไม่ต้องพูดถึงวัดพุทธไม่กี่แห่งที่คุณได้รับการสนับสนุนให้ปีนขึ้นไป    

จนกระทั่งเมืองหลวงและพระแก้วมรกตถูกย้ายมาที่กรุงเทพ วัดอรุณจึงมีลักษณะที่โดดเด่นที่สุด นั่นก็คือ þrahng (หอคอยสไตล์เขมร) ที่มีความสูง 82 เมตร การก่อสร้างหอคอยนี้เริ่มต้นในช่วงครึ่งแรกของคริสต์ศตวรรษที่ 19 โดยพระรามที่ 2 และต่อมาแล้วเสร็จโดยพระรามที่ 3 (พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ร. 2367–51)

บันไดสูงชันนำไปสู่ด้านบนซึ่งมองเห็นทิวทัศน์อันน่าทึ่งของแม่น้ำเจ้าพระยา สิ่งที่มองไม่เห็นจากระยะไกลคือกระเบื้องโมเสกลายดอกไม้อันวิจิตรงดงาม

ซึ่งทำจากเครื่องกระเบื้องจีนที่แตกหักหลายเฉดสี ซึ่งเป็นของประดับประจำวัดในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น เมื่อเรือของจีนแล่นมาที่ท่าเรือกรุงเทพฯ ได้ทิ้งเครื่องกระเบื้องเก่าจำนวนมากเป็นบัลลาสต์

ว่ากันว่าพระประธานในวัดว่ากันว่าออกแบบโดยพระราม 2 เอง ภาพจิตรกรรมฝาผนังมีอายุตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 

สิ่งที่น่าประทับใจอย่างยิ่งคือภาพที่เจ้าชายสิทธัตถะเผชิญตัวอย่างการเกิด แก่ เจ็บ และตายนอกกำแพงพระราชวัง ซึ่ง  ufabet   เป็นประสบการณ์ที่ทำให้เขาละทิ้งชีวิตทางโลก พระอัฐิของรัชกาลที่ 2 ฝังไว้ที่ฐานพระประธาน   วัดในบริเวณวัดอรุณตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 16 เป็นอย่างน้อย นักประวัติศาสตร์เชื่อว่าวัดมะกอกเดิมที่ทราบกันดีว่าก่อตั้งขึ้นริมฝั่งคลองลัด แต่จนกระทั่งปี พ.ศ. 2310 เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินเสด็จข้ามวัด จึงมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์อย่างแท้จริง

สมเด็จพระเจ้าตากสินเสด็จข้ามสถานที่นี้ตอนพระอาทิตย์ขึ้นขณะหลบหนีผู้รุกรานจากพม่า ทรงตั้งสถานที่แห่งนี้เป็นวัดในวังและเปลี่ยนชื่อเป็นวัดแจ้ง จากนั้นวัดแห่งนี้ได้รับเลือกให้เป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตซึ่งเป็นแพลเลเดียมที่น่ากลัวของประเทศไทย เมื่อถูกนำข้ามมาจากเวียงจันทน์ เมืองหลวงของประเทศลาวในปัจจุบัน ปัจจุบันอยู่ฝั่งตรงข้ามแม่น้ำในวัดพระแก้ว

เมื่อกรุงเทพกลายเป็นเมืองหลวงใหม่ของประเทศไทย วัดก็เปลี่ยนชื่ออีกครั้งโดยพระรามที่ 2 คราวนี้เป็นวัดอรุณ รัชกาลที่ 2 ยังได้เริ่มขยาย þrahng ส่วนกลาง ซึ่งต่อมาสร้างเสร็จในปี พ.ศ. 2385 ในสมัยรัชกาลที่ 3 นอกจากงานบูรณะ þrahng บางส่วนซึ่งแล้วเสร็จในปี 2017 แล้ว ยังมีอะไรเปลี่ยนแปลงอีกเล็กน้อยที่วัดอรุณ

ดราม่าหญิงเล่นซิปไลน์โรยตัวข้ามป่าชิวๆพร้อมอุ้มลูกน้อยไปด้วย 

        เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในประเทศมาเลเซียเนื่องจากว่ามีคลิปไวรัลถูกเผยแพร่ในโลกออนไลน์ซึ่งคลิปดังกล่าวนั้นเป็นคลิปที่หญิงสาวคนหนึ่งกำลังเล่นซิปไลน์อยู่กลางพื้นที่ป่าแต่ที่เป็นกระแสทำให้คนวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างหนักจนเดือดในโลกออนไลน์เดือดนั่นก็เพราะว่าในขณะที่หญิงคนดังกล่าวเล่นซิปไลน์อยู่นั้นมืออีกข้างหนึ่งก็อุ้มลูกน้อยเอาไว้ด้วย 

       สำหรับเรื่องราวดังกล่าวนั้นได้ถูกเผยแพร่ผ่านทางเว็บไซต์ World of Blass เมื่อวันที่ 14 เดือนพฤศจิกายน ปี พ.ศ. 2565 

โดยในเว็บไซต์ระบุว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นอยู่ในเมืองกัวลา คูบู บารู ซึ่งในคลิปจะเห็นได้ว่าในขณะที่หญิงสาวกำลังลอยตัวอยู่นั้นอีกข้างนึงก็อุ้มลูกน้อยเอาไว้แนบอกถึงแม้ว่าจะมีอุปกรณ์เซฟตี้อย่างดีมีสายรัดโรยตัวสีเหลืองมัดตัวเด็กเอาไว้ให้อยู่ติดกับผู้เป็นแม่ 

       แต่คนที่เห็นภาพในคลิปดังกล่าวต่างก็พากันหวาดเสียวเป็นอย่างมากเพราะอาจมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นได้และถ้าหากเกิดอุบัติเหตุขึ้นเด็กตกลงมาหรือแม้แต่อุปกรณ์สายรัดโรยตัวค่ะก็อาจจะทำให้เด็กได้รับบาดเจ็บได้ นอกจากนี้จะเห็นได้ว่าการลอยตัวเล่นซิปไลน์ในครั้งนี้นั้นมีความสูงค่อนข้างมากเลยทีเดียวดังนั้นถ้าหากมีอุบัติเหตุอะไรเกิดขึ้นไม่ว่าจะแม่หรือตัวเด็กอาจจะได้รับบาดเจ็บถึงแก่ความตายได้ 

          อย่างไรก็ตามเหตุการณ์ดราม่าในครั้งนี้ผู้คนต่างก็มองว่าผู้เป็นแม่นั้นไม่คำนึงถึงความสำคัญและความปลอดภัยของลูกและเอาความสนุกของตนเองเป็นที่ตั้งนอกจากนี้กระแสโซเชียลยังมองว่าการเล่นซิปไลน์ควรจะต้องมีการตั้งกฎกติกาเอาไว้อย่างชัดเจนด้วย

ควรจะมีการกำหนดผู้เล่นว่าควรจะมีอายุขั้นต่ำไม่เกินเท่าไหร่เพราะการเล่นซิปไลน์นั้นนับได้ว่าเป็นการเล่นที่อันตราย

และถ้าหากคนอายุน้อยก็ไม่ควรเล่นเพราะถือได้ว่าเป็นกิจกรรมที่ผ่านผลดังนั้นจึงควรกำหนดอายุของผู้เล่นอย่างชัดเจนเพราะเหตุการณ์ที่เด็กไปเล่นซิปไลน์และตกลงมานั้นเคยเกิดขึ้นมาแล้วซึ่งเป็นเด็กอายุ 10 ขวบโดยในตอนนั้นมีความสูงถึง 6 เมตรเมื่อเด็กตกลงไปก็อยู่ในสภาพแน่นิ่งโชคดีที่ได้รับการช่วยเหลือทันท่วงทีและไม่ถึงแก่ความตาย 

       สำหรับเหตุการณ์ในครั้งนี้มีชาวโซเชียลบางคนได้นำคลิปหลักฐานดังกล่าวไปมอบให้กับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเขต 6 เป็นที่เรียบร้อยแล้วซึ่งเมื่อวันที่ 13 เดือนพฤศจิกายน ปี พ.ศ. 2565 ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการออกแถลงการณ์เกี่ยวกับคลิปดังกล่าวโดยว่าจะมีการตรวจสอบหาข้อเท็จจริง

ถ้าเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นจริงก็จะมีการแจ้งความดำเนินคดีกับหญิงสาวผู้เป็นแม่เพราะถือได้ว่ามีความผิดในฐานละเลยความปลอดภัยของลูกของตนเองซึ่งมีโทษทั้งจำทั้งปรับและสามารถติดคุกได้ไม่เกิน 20 ปีรวมถึงปรับเงินสูงสุดอยู่ที่ 5หมื่นริงกิตอีกด้วย 

 

สนับสนุนโดย    ufabet

ประเพณีลากพระและตักบาตรเทโว  ประจำจังหวัดสงขลา 

ประเพณีลากพระและตักบาตรเทโว  ประจำจังหวัดสงขลา 

         สำหรับในบทความนี้เราจะมาแนะนำเกี่ยวกับประเพณีที่จะมีการจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีของจังหวัดสงขลาซึ่งนับได้ว่าเป็นประเพณีที่มีการทำกันมาอย่างยาวนานสืบทอดกันรุ่นต่อรุ่นจากคนเฒ่าคนแก่ส่งต่อมายังถึงลูกหลานและปัจจุบันนั้นก็ยังมีการจัดประเพณีกันอย่างยิ่งใหญ่อลังการอยู่และประเพณีก็ยังสามารถดึงดูดให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเดินทางมาเที่ยวที่จังหวัดสงขลาเพื่อมาร่วมงานประเพณีกันอย่างคับคั่งมากมายเลยทีเดียว

     สำหรับประเพณีที่เรากำลังพูดถึงนี้คือประเพณีลากพระและตักบาตรเทโวซึ่งโดยปกติแล้วทางจังหวัดสงขลาจะมีการจัดกิจกรรมประเพณีในช่วงประมาณต้นเดือนตุลาคมซึ่งเป็นช่วงระหว่างวันออกพรรษาโดยจุดที่มีการจัดกิจกรรมประเพณีนี้จะมีตั้งแต่บริเวณสระบัวแหลมสมิหลานอกจากนี้ยังมีการจัดประเพณีนี้แถวบริเวณเชิงบันไดเขาตังกวนและที่หน้าสนามกีฬาติณสูลานนท์ซึ่งถือว่าเป็นสนามกีฬาประจำจังหวัดสงขลาอีกด้วย

          ประเพณีลากพระและตักบาตรเทโวนั้นทางเจ้าหน้าที่ประจำจังหวัดจะมีการจัดกิจกรรม 3 วันด้วยกัน

ซึ่งโดยปกติแล้วในวันแรกนั้นจะมีการจัดทำพิธีสมโภชบริเวณสระบัวแหลมสมิหลาซึ่งตรงจุดนี้ชาวบ้านจะพากันมารวมตัวเพื่อทำบุญเป็นการห่มผ้าองค์เจดีย์หลวงเขาตังกวนซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำจังหวัดสงขลาและเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวจังหวัดสงขลาให้ความเคารพนับถือเป็นอย่างมากเลยทีเดียว 

        อย่างไรก็ตามวันต่อมาชาวบ้านก็จะมีการเดินขบวนมาที่บริเวณหน้าสถานีวิทยุเสียงจากทหารเรือเพื่อทำพิธีแห่ผ้าและเปลี่ยนผ้าห่มขององค์เจดีย์หลวงเขาตังกวนซึ่งกิจกรรมจะเริ่มมีการทำการตั้งแต่ 08:00 น เป็นต้นไปและหลังจากที่เสร็จประเพณีในวันดังกล่าวแล้วชาวบ้านก็จะพากันท่องเที่ยวตามสถานที่ท่องเที่ยวภายในจังหวัด

         หลังจากนั้นในวันรุ่งขึ้นชาวบ้านก็จะมารวมตัวกันแถวบริเวณเชิงบันไดเขาตังกวนอีกครั้งหนึ่งซึ่ง  ufabet    จะมารวมตัวกันตั้งแต่ช่วงเวลา 06:30 น เป็นต้นไปเพื่อร่วมพิธีทำบุญตักบาตรเทโวโดยจะมีพระสงฆ์เป็นจำนวนมากมาคอยยืนรับข้าวสารอาหารแห้งแถวบริเวณเชิงบันไดเขาตังกวนและจะมีการเริ่มตักบาตรกันตั้งแต่ช่วงเวลา 8:30 น เป็นต้นไป 

         หลังจากที่ชาวบ้านทำการตักบาตรและมีการเปิดงานประเพณีลากพระเสร็จเรียบร้อยแล้วก็จะมีการชมกันประกวดเรือพระขบวนแห่เรือพระที่นั่งซึ่งการประกวดนี้จะมีการจัดขึ้นที่บริเวณหน้าสนามกีฬาติณสูลานนท์และในวันสุดท้ายนั้นก็จะเป็นพิธีการมอบรางวัลเรือขบวนที่ชนะการประกวด 

ประเพณีลากพระและตักบาตรเทโว  ประจำจังหวัดสงขลา 

         สำหรับในบทความนี้เราจะมาแนะนำเกี่ยวกับประเพณีที่จะมีการจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีของจังหวัดสงขลาซึ่งนับได้ว่าเป็นประเพณีที่มีการทำกันมาอย่างยาวนานสืบทอดกันรุ่นต่อรุ่นจากคนเฒ่าคนแก่ส่งต่อมายังถึงลูกหลานและปัจจุบันนั้นก็ยังมีการจัดประเพณีกันอย่างยิ่งใหญ่อลังการอยู่และประเพณีก็ยังสามารถดึงดูดให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเดินทางมาเที่ยวที่จังหวัดสงขลาเพื่อมาร่วมงานประเพณีกันอย่างคับคั่งมากมายเลยทีเดียว

    ประเพณีลากพระและตักบาตรเทโว สำหรับประเพณีที่เรากำลังพูดถึงนี้คือประเพณีลากพระและตักบาตรเทโวซึ่งโดยปกติแล้วทางจังหวัดสงขลาจะมีการจัดกิจกรรมประเพณีในช่วงประมาณต้นเดือนตุลาคม

ซึ่งเป็นช่วงระหว่างวันออกพรรษาโดยจุดที่มีการจัดกิจกรรมประเพณีนี้จะมีตั้งแต่บริเวณสระบัวแหลมสมิหลานอกจากนี้ยังมีการจัดประเพณีนี้แถวบริเวณเชิงบันไดเขาตังกวนและที่หน้าสนามกีฬาติณสูลานนท์ซึ่งถือว่าเป็นสนามกีฬาประจำจังหวัดสงขลาอีกด้วย

          ประเพณีลากพระและตักบาตรเทโวนั้นทางเจ้าหน้าที่ประจำจังหวัดจะมีการจัดกิจกรรม 3 วันด้วยกันซึ่งโดยปกติแล้วในวันแรกนั้นจะมีการจัดทำพิธีสมโภชบริเวณสระบัวแหลมสมิหลาซึ่งตรงจุดนี้ชาวบ้านจะพากันมารวมตัวเพื่อทำบุญเป็นการห่มผ้าองค์เจดีย์หลวงเขาตังกวนซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำจังหวัดสงขลาและเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวจังหวัดสงขลาให้ความเคารพนับถือเป็นอย่างมากเลยทีเดียว 

        อย่างไรก็ตามวันต่อมาชาวบ้านก็จะมีการเดินขบวนมาที่บริเวณหน้าสถานีวิทยุเสียงจากทหารเรือเพื่อทำพิธีแห่ผ้าและเปลี่ยนผ้าห่มขององค์เจดีย์หลวงเขาตังกวนซึ่งกิจกรรมจะเริ่มมีการทำการตั้งแต่ 08:00 น เป็นต้นไปและหลังจากที่เสร็จประเพณีในวันดังกล่าวแล้วชาวบ้านก็จะพากันท่องเที่ยวตามสถานที่ท่องเที่ยวภายในจังหวัด

         หลังจากนั้นในวันรุ่งขึ้นชาวบ้านก็จะมารวมตัวกันแถวบริเวณเชิงบันไดเขาตังกวนอีกครั้งหนึ่งซึ่งจะมารวมตัวกันตั้งแต่ช่วงเวลา 06:30 น เป็นต้นไปเพื่อร่วมพิธีทำบุญตักบาตรเทโวโดยจะมีพระสงฆ์เป็นจำนวนมากมาคอยยืนรับข้าวสารอาหารแห้งแถวบริเวณเชิงบันไดเขาตังกวนและจะมีการเริ่มตักบาตรกันตั้งแต่ช่วงเวลา 8:30 น เป็นต้นไป 

         หลังจากที่ชาวบ้านทำการตักบาตรและมีการเปิดงานประเพณีลากพระเสร็จเรียบร้อยแล้วก็จะมีการชมกันประกวดเรือพระขบวนแห่เรือพระที่นั่งซึ่งการประกวดนี้จะมีการจัดขึ้นที่บริเวณหน้าสนามกีฬาติณสูลานนท์และในวันสุดท้ายนั้นก็จะเป็นพิธีการมอบรางวัลเรือขบวนที่ชนะการประกวด 

 

สนับสนุนโดย   ufabet

วัฒนธรรมและมารยาททางธุรกิจของเกาหลี

มารยาททางธุรกิจของเกาหลี การสำรวจธุรกิจระหว่างประเทศของออสเตรเลีย (AIBS) ประจำปี 2558 ระบุว่าภาษาท้องถิ่น วัฒนธรรม และการปฏิบัติทางธุรกิจเป็นอุปสรรคเดียวที่ใหญ่ที่สุด

ในการดำเนินธุรกิจในเกาหลีสำหรับธุรกิจในออสเตรเลีย ด้วยเหตุนี้ การเข้าใจหลักปฏิบัติทางวัฒนธรรมพื้นฐานของเกาหลีในบริบททางธุรกิจจึงเป็นสิ่งสำคัญ วัฒนธรรมเกาหลีแพร่หลายในลัทธิขงจื๊อ ซึ่งเน้นการเคารพการศึกษา อำนาจ และอายุ

แม้ว่าชาวเกาหลียุคใหม่อาจไม่ปฏิบัติตามหลักการของขงจื๊ออย่างเคร่งครัดเหมือนกับคนรุ่นก่อน แต่หลักการเหล่านี้ยังคงเป็นรากฐานของขนบธรรมเนียมและแนวทางปฏิบัติทางธุรกิจมากมาย

อายุและสถานภาพ การเคารพอายุและสถานะเป็นสิ่งสำคัญมากในวัฒนธรรมเกาหลี

โดยลำดับชั้นจะส่งผลต่อปฏิสัมพันธ์ทางสังคมในทุกด้าน ทุกคนมีบทบาทในสังคมอันเป็นผลมาจากลำดับชั้น ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเคารพในสังคม คนเกาหลีรู้สึกสบายใจที่สุดที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับคนที่พวกเขาคิดว่าเท่าเทียมกัน สถานะส่วนใหญ่ถูกกำหนดโดยบทบาทของใครบางคนในองค์กร องค์กรที่พวกเขาทำงานให้ มหาวิทยาลัยใดที่พวกเขาไป และสถานภาพการสมรสของพวกเขา

นามบัตร การแลกเปลี่ยนนามบัตรเป็นส่วนสำคัญของการประชุมครั้งแรก ช่วยให้ชาวเกาหลีสามารถกำหนดตำแหน่ง ตำแหน่ง และอันดับที่สำคัญทั้งหมดของคู่ของตนได้อย่างรวดเร็ว ขณะที่ยังยืนอยู่ คุณควรยื่นนามบัตรด้วยสองมืออย่างสุภาพ

และรับหนึ่งใบเป็นการตอบแทน อย่าเพียงแค่หย่อนการ์ดลงในกระเป๋า ใช้เวลาสองสามวินาทีในการตรวจสอบชื่อและตำแหน่งแทน หากคุณกำลังนั่งอยู่ ให้วางไว้บนโต๊ะข้างหน้าคุณตลอดระยะเวลาการประชุม

ให้ของขวัญ ในเกาหลี ความสำคัญของความสัมพันธ์สามารถแสดงออกผ่านการให้ของขวัญซึ่งยินดีเสมอ โปรดทราบว่า การให้ของขวัญราคาแพงแก่ใครสักคนนั้นไม่ใช่เรื่องน่าอายหากคุณรู้ว่าพวกเขาไม่สามารถให้สิ่งนั้นตอบแทนได้ ของขวัญควรห่ออย่างดีด้วยกระดาษสีแดงหรือสีเหลืองเสมอ

เนื่องจากเป็นสีของราชวงศ์ หรือคุณสามารถใช้สีที่แสดงถึงความสุข: สีเหลืองหรือสีชมพู ห้ามเซ็นชื่อบนบัตรด้วยหมึกสีแดงหรือใช้กระดาษห่อสีเขียว สีขาว หรือสีดำ หากคุณได้รับเชิญไปที่บ้านของชาวเกาหลี คุณควรนำของขวัญ เช่น ผลไม้ ช็อคโกแลตคุณภาพดี หรือดอกไม้ และยื่นของขวัญด้วยสองมือ ของขวัญจะไม่ถูกเปิดเมื่อได้รับและจะเปิดในภายหลัง

ชื่อเกาหลี ชื่อสกุลของเกาหลีส่วนใหญ่จะมีพยางค์เดียว ในขณะที่ชื่อมักจะมีสองพยางค์ นามสกุลมาก่อน (เช่น Kim Tae-Woo เป็นต้น) จนกว่าคุณจะมีข้อตกลงที่ดีกับคู่หูชาวเกาหลี ควรใช้นามสกุลนำหน้าด้วยคำนำหน้านามที่ให้เกียรติ (เช่น นาย) ไม่ว่าจะพูดโดยตรงกับพวกเขาหรือเกี่ยวกับพวกเขากับชาวเกาหลีคนอื่น

ในสภาพแวดล้อมที่ต้องการความเคารพหรือเป็นทางการ คุณควรใช้ชื่อและนามสกุลที่เป็นทางการของคู่ของคุณ (เช่น ประธานลี) ชาวเกาหลีบางคนที่อาศัยอยู่ต่างประเทศอาจใช้ชื่อแบบตะวันตกและชอบที่จะใช้ชื่อสกุลมากกว่า บางคนมองว่าชื่อของพวกเขาเป็นเรื่องส่วนตัว ดังนั้นคำแนะนำให้ทำงานโดยใช้ชื่อจริงอาจได้รับการเสนอช้า

 

สนับสนุนเนื้อหาโดย    ufabet

นโยบายทางวัฒนธรรมในเกาหลี

นโยบายทางวัฒนธรรมในเกาหลี Statism เสนอเลนส์ที่สำคัญซึ่งนโยบายทางวัฒนธรรมในเกาหลีอาจถูกถอดรหัส แม้จะมีความแตกต่างทางแนวคิดดังกล่าวข้างต้น

แต่บทความส่วนใหญ่ในประเด็นนี้เน้นไปที่การทำงานของระบบราชการ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข้าราชการด้านวัฒนธรรมซึ่งทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐในด้านนโยบายและการบริหารวัฒนธรรม บทบาทของระบบราชการในฐานะตัวกลางอย่างต่อเนื่องในประวัติศาสตร์ของการสมรู้ร่วมคิดระหว่างการเมืองและวัฒนธรรมในเกาหลีย้อนกลับไปไกลถึงศตวรรษที่ 15

ดังที่เห็นได้ในช่วงต้นราชวงศ์โชซอน แนวโน้มนี้เปลี่ยนไปเล็กน้อยระหว่างการปรับปรุงเศรษฐกิจให้ทันสมัยและการเมืองที่เป็นประชาธิปไตย เกาหลีใต้ยอมรับสิ่งที่ Katzenstein (1978) ระบุว่าเป็น แบบจำลองทางเทคนิคของการพัฒนาที่นำโดยรัฐในช่วงยุคทุนนิยมทันสมัย ในกระบวนการพัฒนาเศรษฐกิจนี้ ระบบราชการกลายเป็นศูนย์รวมของ ความสามารถของรัฐเพื่อใช้คำของ Katzenstein 

แม้กระทั่งหลังจากการทำให้เป็นประชาธิปไตยทางการเมืองของเกาหลีใต้ ซึ่งอันที่จริงแล้วมีทั้งบางส่วนและมีปัญหา

ข้าราชการก็ยังคงมีอำนาจและแสดงอิทธิพลที่เหนือกว่าเมื่อเทียบกับตัวแทนทางสังคมอื่น ๆ โดยสถานะของระบบราชการได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการจัดการกับกิจการของรัฐ ข้าราชการสามารถครอบงำฟิลด์นโยบายวัฒนธรรมได้เนื่องจากพวกเขาได้รับความไว้วางใจให้มีบทบาทไม่เพียง

แต่กำหนดและตีความวัฒนธรรมเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการปรับใช้และดำเนินโครงการทางวัฒนธรรมในระดับบริหารด้วย ด้วยเหตุนี้ เมื่อตรวจสอบการทำงานของสถิติในสาขาวัฒนธรรมของเกาหลีใต้ บทบาทของระบบราชการจึงมีความสำคัญยิ่ง

สำหรับความสัมพันธ์ระหว่างนโยบายวัฒนธรรมกับประชาธิปไตย ควรอ้างอิงถึงประเด็นพิเศษอื่นของวารสารนี้ นั่นคือ นโยบายวัฒนธรรมกับประชาธิปไตย‘ (Vestheim 2012) แม้ว่าจะอิงตามพัฒนาการทางการเมืองในประเทศตะวันตกเท่านั้น แต่ข้อมูลเชิงลึกก็เกี่ยวข้องกับกรณีต่างๆ ของเกาหลีที่นำเสนอในที่นี้

ซึ่งมีการตรวจสอบบทบาทและอิทธิพลของตัวแทนต่างๆ ของระบบการเมือง Vestheim แนะนำว่าอาจใช้สี่ประเภทเพื่ออธิบายนโยบายวัฒนธรรมประชาธิปไตย: จุดมุ่งหมาย บรรทัดฐาน และอุดมการณ์ของนโยบายวัฒนธรรม; โครงสร้างสถาบัน ตัวแทน และผลประโยชน์ การเข้าถึงและการมีส่วนร่วม และการกระจายทรัพยากรทางเศรษฐกิจในสนาม อย่างไรก็ตาม ดังที่ Blomgren และ Vestheim (2012) ชี้ให้เห็นในประเด็นพิเศษเดียวกัน ระบอบประชาธิปไตยที่ใช้งานได้เป็นสิ่งจำเป็นเบื้องต้นสำหรับนโยบายวัฒนธรรมประชาธิปไตย 

กรณีของเกาหลีใต้ที่นำเสนอในประเด็นนี้แสดงให้เห็นว่าแม้ว่านโยบายวัฒนธรรมของเกาหลีจะสอดคล้องกับเกณฑ์

ที่เสนอโดย Blomgren และ Vestheim ในระดับหนึ่ง ยังไม่ถือว่าเป็นประชาธิปไตยเมื่อแผนห้าและสิบปีซึ่งมีจุดมุ่งหมายและวัตถุประสงค์ที่เป็นรูปธรรมถูกร่างขึ้นโดยฝ่ายเดียวโดยข้าราชการโดยไม่มีการหารือล่วงหน้ากับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหรือภาคประชาสังคม การมีส่วนร่วมต่อประเด็นนี้สะท้อนถึงประสิทธิภาพและข้อจำกัดของนโยบายวัฒนธรรมสถิติในเชิงวิพากษ์วิจารณ์ ในแง่ของการเคลื่อนไหวด้วยแสงเทียนเมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่งกระตุ้นให้มีการอภิปรายอย่างทันท่วงทีเกี่ยวกับสถานะปัจจุบันของระบอบประชาธิปไตยของเกาหลีใต้

 

สนับสนุนเนื้อหาโดย  ufabet

ไทยกับสงครามเวียดนาม ช่วยรบกับเวียดนามใต้

ไทยกับสงครามเวียดนาม โดยในปี 1964 สหรัฐอเมริกาก็เริ่มใช้วิธีการทิ้งระเบิดลงไปในเวียดนามเหนือทิ้งลงไปเยอะๆติดต่อกันเป็นระยะเวลา 3 ปีกะว่าทิ้งไปเยอะๆเวียดนามเหนือจะได้เลิกซักทีแบบเลิกสู้ซักทีแต่ก็ไม่เป็นผลสุดท้ายก็เลยต้องเลิกทิ้งระเบิดไป ตรงนี้อาจจะไม่เกี่ยวกับเวียดนามโดยตรง

แต่ว่าเพื่อนบ้านอย่างลาว ซึ่งอเมริกาก็มองว่ามีปัญหาคอมมิวนิสต์เหมือนกันก็โดน นโยบายการทิ้งระเบิดในปี 1964 ไปเหมือนกันแล้วก็ต้องบอกว่าโดนหนักมากๆน่าสงสารมากๆเลยเพราะว่าอเมริกาทิ้งระเบิดใส่ลาวไปต่อเนื่องถึง9ปี รวมระเบิดที่อเมริกาทิ้งใส่ลาวตอนนั้นก็ประมาณ2ล้านตัน เรียกได้ว่าทิ้งลงไปเยอะถึงขนาดที่ว่าในประวัติศาสตร์ทั้งหมดของมนุษย์ชาติลาวกลายเป็นประเทศที่โดนระเบิดมากที่สุดก็เพราะเหตุการณ์นี้

ส่วนเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทยในฐานะพันธมิตรของสหรัฐอเมริกาช่วงสงครามเย็นก็คือ ในปี1967 กองทัพไทยของเราก็ส่งกองทัพเข้าไปช่วยรบในสงครามเวียดนามเหมือนกัน ซึ่งแน่นอนว่าเราเข้าข้างฝ่ายเวียดนามใต้และในปีเดียวกันก็เกิดเหตุการณ์สำคัญก็คือ

สิ่งที่เรียกว่า Tet Offensive ซึ่งคำว่า Tet ในที่นี้หมายถึงวันตรุษญวณก็คือคล้ายๆกับตรุษจีนนั่นแหละซึ่งจริงๆแล้วฉลองวันเดียวกันด้วยซึ่งวันนี้ปกติตามธรรมเนียมมันจะต้องเป็นวันที่หยุดรบประมาณว่าทุกคนหยุดไปฉลองปีใหม่แต่เวียดนามเหนือดันอาศัยจังหวะนี้โจมตีเวียดนามใต้แล้วกะว่านี่แหละคือสิ่งที่จะทำให้เราชนะ

เพราะฉะนั้นแล้วในการโจมตีในครั้งนี้เวียดนามเหนือไม่ได้โจมตีแค่จุดเดียว    ufabet   แต่เป็นกลยุทธ์ที่โจมตีหลายๆจุดพร้อมๆกันซึ่งหลังจากนั้นก็เลยเป็นการนัวกันต่อเนื่องยาวนานเลยอย่างไรก็ตามในการนัวกันครั้งนี้เวียดนามเหนือไม่ได้ชนะแต่เวียดนามใต้ก็เยินไปพอทำควรเหมือนกัน

จนกระทั่งในปี1969มีการเปลี่ยนตัวประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาอีกครั้งนึงเป็น ริชาร์ด นิกสัน ซึ่งนิกสันก็รู้ดีว่าตอนนี้ชาวอเมริกาเบื่อสงครามเวียดนามเต็มที่แล้ว ดังนั้น นิกสัน ได้ออกนโยบายที่เรียกว่า Vietnamisationหรือว่าการทำให้เป็นเวียดนามแปลง่ายๆก็คือเราจะทำให้สงครามเวียดนามเป็นสงครามของเวียดนามจริงๆแล้ว

ชาวเวียดนามก็ไปรบกันเองเราไม่เกี่ยว โดยวิธีที่นิกสันใช้ก็คือไปเทรนพวกทหารเวียดนามใต้เพื่อให้สามารถรบได้ด้วยตัวเองฟังดูเหมือนนิ่งๆสุขุมเจรจาไม่น่ามีอะไรแล้วเพราะว่าสหรัฐอเมริกาไม่ได้เข้าไปยุ่งกับเวียดนามแล้ว แต่ในปีเดียวกันสหรัฐอเมริกากลับทิ้งระเบิดใส่กันพูชาเยอะมากๆ เพราะอย่าลืมว่าถึงกัมพูชาจะประกาศตัวว่าเขาเป้นกลางอย่าเข้ามายุ่ง แต่ Ho Chi Minh Trail มันผ่านกัมพูชาและที่สำคัญมีทหารเวียดนามเหนือจำนวนมากเลยที่ไปซ่อนตัวอยู่ในกัมพูชา

วัดพระแก้ว หรือวัดพระศรีรัตนศาสดาราม กรุงเทพฯ

      ถ้าหากพูดถึงวัดพระแก้วเชื่อว่าไม่มีใครไม่รู้จักเนื่องจากว่าเป็นวัดที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากแม้แต่ชาวต่างชาติเองก็ยังรู้จักกับวัดพระแก้ว

วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เนื่องจากว่าเป็นวันสำคัญที่มีความเกี่ยวพันทางด้านพระพุทธศาสนาและพระมหากษัตริย์เนื่องจากวัดแห่งนี้นั้นจะมีการจัดพิธีสำคัญสำคัญอยู่บ่อยครั้งที่มีความเกี่ยวพันกับทางพระมหากษัตริย์ด้วยวัดแห่งนี้ได้ถูกสร้างและสถาปนาขึ้นมาในช่วงประมาณปีพศ 2325 ซึ่งตรงกับกรุงรัตนโกสินทร์ในสมัยของรัชกาลที่ 1 

        สำหรับประวัติความเป็นมาของการสร้างวัดพระแก้วแห่งนี้ว่ากันว่าถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่มีการย้ายเมืองหลวงจากกรุงศรีอยุธยามาเป็นกรุงเทพฯหรือเรียกว่าย้ายจากกรุงศรีมาเป็นกรุงรัตนโกสินทร์โดยวัดแห่งนี้มีการสร้างขึ้นมาพร้อมกับการสร้างพระบรมมหาราชวังดังนั้นจะเห็นได้ว่าวัดพระแก้วนั้นจะมีพื้นที่ติดอยู่กับพระราชวังเลยนั่นเอง  นอกจากนี้ยังเป็นการสถาปนากรุงเทพมหานครเป็นราชธานีอีกด้วย 

         ลักษณะของการสร้างวัดพระแก้วนั้นมีการสร้างให้มีความคล้ายคลึงกับวัดพระอารามหลวงในยุคเก่าแก่โบราณตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัยหรือแม้แต่กรุงศรีอยุธยานั่นก็คือมีการสร้างให้มีความคล้ายคลึงเหมือนกับวัดมหาธาตุและวัดพระศรีสรรเพชญ์นั่นเองอย่างไรก็ตามเนื่องจากวัดพระแก้วนั้นเป็นวัดที่มีความเกี่ยวพันกับทางด้านพระมหากษัตริย์ดังนั้นวัดแห่งนี้จะเห็นได้ว่าจะเป็นพื้นที่วัดที่ไม่มีพระสงฆ์อาศัยหรือจำพรรษา

         อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าวัดพระแก้วนั้นจะเป็นวัดที่ไร้ซึ่งพระสงฆ์แต่ภายในพื้นที่บริเวณวัดนั้นก็ยังมีการก่อสร้างเหมือนกับวัดอื่นๆทั่วไปนั่นก็คือมีทั้งพระเจดีย์รวมถึงพระอุโบสถและยังมีหอไตรรวมถึงหอมณเฑียรและพระวิหารอีกด้วย   อย่างไรก็ตามหลังจากที่มีการสร้างวัดพระแก้วขึ้นมาแล้วยังคงมีการสร้างสิ่งก่อสร้างอื่นๆอีกเยอะแยะมากมาย

อย่างเช่นการสร้างหอระฆังซึ่งมีการสร้างเอาไว้ระหว่างพระอุโบสถกับระเบียงด้านใต้นอกจากนี้ยังมีการสร้างหอพระนาก  รวมถึงมีการจัดฉลองอย่างยิ่งใหญ่ขึ้นในช่วงปีพศ 2352 เป็นงานสมโภชพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรและเป็นการฉลองหลังจากที่มีการสร้างวัดพระศรีรัตนศาสดารามเสร็จอย่างสมบูรณ์ 

          อย่างไรก็ตามเนื่องจากว่าวัดพระแก้วนั้นมีการสร้างมาอย่างยาวนานจึงมักมีการปฏิสังขรณ์และบูรณะอยู่บ่อยครั้งเพื่อเป็นการซ่อมแซมให้วัดวาอารามนั้นยังคงมีความสวยงามอยู่นอกจากนี้ก็ยังมีการสร้างเพิ่มเติมอีกด้วยเช่นรูปยักษ์ 6 คู่รวมถึงภาพจิตรกรรมฝาผนังในพระอุโบสถเป็นต้น

         สำหรับพระที่นั่งศิวาลัยมหาปราสาทที่เราเห็นกันอยู่ทุกวันนี้นั้นถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่ในสมัยของรัชกาลที่ 6 โดยสร้างขึ้นมาเพื่อต้องการที่จะใช้เป็นสถานที่ประดิษฐานพระบรมรูปของรัชกาลที่ 5 และในทุกๆปีจะมีการจัดประเพณีกราบถวายบังคมพระบรมรูปสมเด็จพระบรมบูรพมหากษัตริยาธิราชเป็นประจำโดยจะจัดขึ้นในวันที่ 6 เดือนเมษายน 

 

สนับสนุนโดย    ufabet

ชนเผ่าอินเดีย ในศตวรรษที่ 15 

ชนเผ่าอินเดีย ในศตวรรษที่ 15  ชาวอินเดียถือเป็นชนพื้นเมืองได้เป็นเจ้าของผืนแผ่นดินอเมริกาก่อนที่คนผิวขาวจากยุโรปจะส่งไปยึดครองจับจองและขับไล่คนพื้นเมืองที่เป็นเจ้าของมาก่อนไปอยู่ในอาณานิคมที่คนผิวขาวเป็นคนสร้างขึ้นและสร้างกฎบังคับให้คนพื้นเมืองเหล่านั้นต้องทำตาม

โดยตามทฤษฎีชาติพันธุ์นั้นมีความเชื่อกันว่าชาวพื้นเมืองอเมริกาหรือพวกอินเดียแดงอพยพไปจากทวีปเอเชียตั้งแต่ยุคน้ำแข็งที่ทำให้แผ่นดินทวีปเอเชียกับอเมริกานั้นเชื่อมต่อกันด้วยแผ่นน้ำแข็งชนพื้นเมืองเหล่านั้นจึงอพยพข้ามมาทางรัฐอลาสก้าแล้วเริ่มลงหลักปักฐาน

ตั้งแต่อลาสก้าลงมาจนถึงอเมริกาใต้ ซึ่งชาวเอสกิโมก็คือชนเผ่าพื้นเมืองที่อพยพมาด้วยในช่วงเวลานั้นเช่นกันหรือแม้แต่ชนเผ่ามายาในอเมริกากลางจนถึงชนเผ่าอินคาในอเมริกาใต้ก็เป็นชนเผ่าชนพื้นเมืองที่สืบสายมาจากกลุ่มคนที่อพยพมาจากเอเชียประมาณกันว่าชนเผ่าพื้นเมืองเหล่านี้สืบสายพันธุ์จนกลายเป็นจำนวนนับพันนับหมื่นชนเผ่า

โดยเฉพาะในทวีปอเมริกาเหนือเองก็มีจำนวนนับเป็นพันๆชนเผ่าตั้งแต่คนขาวจากยุโรปเริ่มอพยพเข้าไปปักหลักอยู่แผ่นดินอเมริกาตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่15 นั้นก็มีการทำสงครามฆ่าสังหารคนพื้นเมืองเหล่านี้มากมายจนหลายเผ่าพันธุ์ถึงกับสูญพันธุ์ไปเลยทีเดียว

โดนเฉพาะในอเมริกาเหนือช่วงสร้างประเทศสหรัฐอเมริกานั้นมีการทำสงครามระหว่างคนผิวขาวกับชนเผ่าอินเดียในอเมริกาเหนืออย่างดุเดือดตลอดจนทั่วทุกพื้นที่ต่อเนื่องตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 ไปจนกระทั่งสิ้นสุดเมื่อต้นศตวรรษที่ 20 ทำให้เกิดความสูญเสีย

ระหว่างทั้งสองฝ่ายลงอย่างมากมายในที่สุดชนเผ่าพื้นเมืองอินเดียก็ต้องเป็นฝ่ายยอมวางอาวุธก่อนและต้องยอมอยู่ใต้กฎหมายของคนผิวขาวที่กำหนดให้ชาวอินเดียเหล่านั้นอยู่ในเขตสงวนที่จัดเอาไว้เฉพาะนี่คือเรื่องที่น่าเศร้าของผู้ที่ครอบครองก่อน แต่ต้องพ่ายแพ้และตกอยู่ในชะตากรรมที่ผู้อื่นกำหนดให้และเรื่องราวต่อไปนี้เป็นเรื่องราวของหัวหน้าเผ่าชาวอินเดียแดงผู้หนึ่งที่มีประวัติการต่อสู้เป็นตำนานในช่วงปลายสงครามอเมริกันอินเดียถึงแม้บั้นปลายจะต้องวางอาวุธและยอมเข้าไปอยู่ในเขตสงวนที่คนขาวกำหนดให้

แต่กว่าที่จะมาถึงบทจบของสงครามอินเดียในครั้งนั้นบุรุษผู้นี้ถือเป้นวีรบุรุษของชาวอินเดียแดงไม่เฉพาะชนเผ่าของตนเองเท่านั้นแต่ของชาวอินเดียทั่วไปที่ต่อสู้กับคนขาวอย่างกล้าหารหรือแม้แต่คนขาวเองก็ยังหวาดกลัวคนผู้นี้บุคคลผู้นี้ก็คือ เจอโรนิโม 

จุดเริ่มต้นของสงครามอินเดียนั้นนับตั้งแต่ปีคริสต์ศักราช1622 โดยนักประวัติศาสตร์ได้วิเคราะห์เอาไว้ว่าตั้งแต่เหตุการสังหารหมู่ที่เมืองเจมส์ทาวน์อาณานิคมแห่งแรกของอังกฤษที่ชาวอังกฤษในเมืองเจมส์ทาวน์ถูกสังหารลงไปเกือบครึ่งเมืองทั้งผู้หญิงและเด็กก็ถูกสังหารไม่เว้น

 

สนับสนุนโดย    ufabet