ตำนานเกี่ยวกับถ้ำ ที่น่าสนใจ

      ตำนานเกี่ยวกับถ้ำ    เชื่อว่าหลายคนที่เคยเดินทางไปเที่ยวตามแหล่งท่องเที่ยวต่างต่าง ไม่ว่าจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวของประเทศไทย หรือแม้แต่แหล่งท่องเที่ยวของต่างประเทศก็ตาม นอกจากจะไปชมความสวยงามของแหล่งท่องเที่ยวแล้ว หลายคนอาจจะมีความคิดที่จะอยากรู้รายละเอียดเกี่ยวกับแหล่งท่องเที่ยวที่ไปเที่ยวด้วย เช่น ที่นี่มีตำนานเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้ว่าอย่งไรบ้างหรือไม่ เพราะหากแหล่งท่องเที่ยวที่เราไปเที่ยวมีตำนานให้พูดถึงมันจะยิ่งทำให้สถานที่นั้นมีความน่าสนใจมากขึ้นนั่นเอง 

          ดังนั้นในบทความนี้เราจะมาแนะนำเกี่ยวกับตำนานของแหล่งท่องเที่ยวของไทยเรา      

   ตำนานถ้ำพระนางจังหวัดกระบี่

       ถ้ำพระนางอยู่ไม่ไกลจากหาดไร่เลย์จังหวัดกระบี่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวบ้านให้ความเคารพโดยมีตำนานเล่าว่านานมาแล้วมีสามีภรรยาคู่หนึ่งไปขอร้องกับพญานาคให้ให้ประธานลูกให้พญานาคตกลงให้ลูกสาวคนหนึ่งโดยมีข้อแม้ว่าเมื่อเด็กคนนี้โตขึ้นจะต้องให้แต่งงานกับลูกชายของตนแต่เมื่อโตขึ้น หญิงสาว คนนั้นกลับไปแต่งงานกับคนอื่นพญานาคโกรธมากจึงทำลายพิธีแต่งงาน

        ได้มีฤษีตนหนึ่งที่อยู่ในถ้ำจะออกมาห้ามแต่ก็ไม่มีใครฟังทุกคนจึงโดนฤษีสาปให้เป็นหิน  เรือนหอนั้นจึงกลายเป็นถ้ำและเป็นที่มาของชื่อถ้ำพระนางสำหรับชาวบ้านเชื่อว่าภายในถ้ำมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นผู้หญิงสิงสถิตอยู่ชาวประมงที่เข้าไปหลบมรสุมในถ้ำนี้เคยฝันเห็นและเล่าต่อกันมาหลังจากนั้นจึงมีการสร้างศาล ขึ้นและเมื่อชาวเรือออกทะเลเพื่อไปหาปลาก็จะไปกราบไหว้และนำปลัดขิกไปถวายบนบานให้ปลอดภัย 

     พญานาคถูกสาปเป็นหิน  ตำนานถ้ำนาคาจังหวัดบึงกาฬ

         ถ้ำนาคา  ตั้งอยู่ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติภูลังกา  อำเภอบึงโขงหลง   จังหวัดบึงกาฬ   อยู่ใกล้กับวัดถ้ำชัยมงคลการขึ้นไปเที่ยวถ้ำต้องเดินขึ้นบันไดสูงชันที่ทางอุทยานจัดสร้างขึ้นไปกว่า 1400 ขั้น  ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ถึง 1 ชั่วโมงครึ่งที่ได้ชื่อว่านาคา หรือถ้ำพญานาค เพราะหินและผนังถ้ำมีรูปทรงคล้ายพญานาคหรืองูขนาดใหญ่นอนขดตัวโดยมีส่วนสำคัญทั้งส่วนหัวและเกล็ดพญานาค

         ตามตำนานเล่าว่านั่นคือพญานาคที่ถูกสาปให้กลายเป็นหินตัว  โดยอือลือราขา หรือปู่ลือ ซึ่งเป็นเทพอยู่บนสรวงสวรรค์ที่ถูกสาปให้เป็นพญานาคปกครองเมืองบาดาลซึ่งเชื่อกันว่าคือบึงโขงหลงจังหวัดบึงกาฬที่มีทั้งพญานาคและมนุษย์อาศัยอยู่ร่วมกันได้สาปบริวารพญานาคของตนให้กลายเป็นหินที่ถ้ำแห่งนี้เพราะทำผิดจารีตไม่มีความสัมพันธ์กับมนุษย์ซึ่งก็คือถ้ำนาคาหรือถ้ำพญานาคแห่งนี้ 

 

สนับสนุนโดย.    gclub เว็บตรง

ศิลปะแบบอิมเพรสชันนิสม์

ศิลปะแบบอิมเพรสชันนิสม์ สำหรับการที่ศิลปินได้มีการเปลี่ยนรูปแบบของศิลปะจากเดิมที่เคยเป็นแบบคลาสสิคกลายมาเป็นแบบเรียลิสม์และอันดับต่อมานั้นก็กลายมาเป็นแบบนั้นก็เพราะว่าทางผู้ที่ชื่นชอบเกี่ยวกับเรื่องของผลงานด้านศิลปะนั้นเกิดความรู้สึกเบื่อหน่ายแล้ว

ก็ไม่อยากที่จะใช้เอาพวกวิวัฒนาการของศิลปินในรูปแบบเดิมๆมาใช้อยากจะมีการเปลี่ยนแปลงในรูปแบบศิลปะมาเป็นแบบใหม่จึงได้พยายามค้นคว้าว่ารูปแบบของศิลปะนั้นจะมีรูปแบบไหนได้บ้าง

         ซึ่งผลจากการค้นคว้านั้นก็คือการได้ศิลปะรูปแบบขนานใหม่ขึ้นมาซึ่งทำให้เกิดแรงบันดาลใจสำหรับศิลปินใหม่ๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกศิลปินที่ชื่นชอบความคิดด้านอิสระชอบการใช้สีการเล่นแสงและเงาต่างๆและไม่อยากจะใช้การเรียนแบบของสมัยโบราณ

นึกว่าจะเป็นสมัยกรีกโบราณหรือโรมันโบราณมาผสมผสานกับรูปแบบของศิลปะของตนเองดังนั้นจึงได้มีการหยิบยกเอาความนิยมชมชอบคือความชอบส่วนตัวของตนเองมาผสมผสานให้เกิดศิลปะทำให้เกิดความประทับใจ

          ซึ่งส่วนใหญ่แล้วศิลปะแบบอิมเพรสชันนิสม์ก็คือการสร้างความประทับใจกับสิ่งแวดล้อมเรื่องราวของตัวเองโดยที่ไม่จำเป็นที่จะต้องเอาเรื่องราวของลัทธิต่างๆหรือประวัติศาสตร์ต่างๆรวมถึงนิยายโบราณต่างๆมาแสดงเป็นผลงานด้านศิลปะนั้นเองซึ่งศิลปะแบบอิมเพรสชันนิสม์นั้นจะเป็นการนำธาตุต่างๆที่เรารู้สึกชื่นชอบ

และรู้สึกประทับใจมาเสนอในรูปแบบของผลงานด้านศิลปะเพื่อตอบสนองความต้องการในการชมผลงานศิลปะของตนเองและผู้อื่นด้วยตนเองและศิลปะนี้ก็ถูกและเริ่มนำมาแสดงเรื่อยๆจนถึงปัจจุบันนี้ก็กลายเป็นศิลปะที่กำลังได้รับความนิยมไม่แตกต่างศิลปะในรูปแบบอื่นๆเลยทีเดียว

          ซึ่งส่วนใหญ่แล้วการวาดศิลปะแบบอิมเพรสชันนิสม์นั้นมักจะเป็นการออกไปหาประสบการณ์นอกบ้านหรือนอกสถานที่ไปชมวิวทิวทัศน์ต่างๆแล้วเผยแพร่ออกมาเป็นผลงานด้านศิลปะส่วนใหญ่และศิลปะพระชนิดนั้นจะแสดงออกมาในรูปแบบของธรรมชาติรูปแบบของสิ่งแวดล้อมต่างๆที่ผู้สร้างสรรค์ผลงานด้านศิลปะได้พบเจอมาด้วยตนเองและชื่นชอบเกิดความประทับใจจึงแสดงผลงานศิลปะเหล่านี้ผ่านทางรูปภาพผืนผ้าใบต่างๆโดยใช้สีในการเล่นทำให้เกิดแสงและเงา

          ซึ่งศิลปะอิมเพรสชันนิสม์นั้นจะค่อนข้างที่จะหยาบไม่มีการเกลี่ยให้เกิดความสวยงามหรือสีอาจจะไม่ได้เรียบแต่ก็ถือว่าเป็นจุดเล็กๆจนจุดขายอย่างหนึ่งที่ทำให้เกิดความประทับใจเกิดมิติมุมมองใหม่ด้านศิลปะและทำให้เกิดรูปแบบของศิลปะรูปแบบใหม่ขึ้นมาจึงเรียกศิลปะแนวนี้ว่าศิลปะอิมเพรสชั่นนิสนั้นเอง ผลงานที่เป็นศิลปะแบบอิมเพรสชันนิสม์ยกตัวอย่างเช่น ภาพวาดของวินเซนต์แวนโก๊ะในปี 1889 ชื่อผลงานคือราตรีประดับดาว เป็นต้น

 

สนับสนุนโดย.   Ufabet เข้าสู่ระบบ

ข้อมูลเกี่ยวกับประวัติการไล่ล่าแม่มด

       ประวัติการไล่ล่าแม่มด  คู่มือการล่าแม่มดการตีพิมพ์ malleus Maleficarum   ในปี 2486 เป็นแนวทางในการระบุและสอบปากคำแม่มด

  โดยมีการระบุว่าเวทมนตร์คาถาเป็นสิ่งนอกรีดและกลายเป็นกลายเป็นที่นิยมอย่างรวดเร็วสำหรับโปรเตสแตนต์และคาทอลิกที่พยายามกำจัดมดที่อาศัยอยู่ท่ามกลางพวกเขาเป็นเวลากว่า 100 ปีแล้วที่หนังสือเล่มนี้ขายได้มากกว่าหนังสือเล่มอื่นๆในยุโรปยกเว้นคัมภีร์ไบเบิลกลายเป็นคู่มือเล่มแรกเกี่ยวกับวิธีจัดการกับแม่มดสำหรับพวกนักล่า

     การล่าแม่มดอย่างแพร่หลายการล่าแม่มดของยุโรปมีระยะเวลายาวนานโดยได้รับแรงผลักดันในช่วงศตวรรษที่ 16 และดำเนินต่อไปกว่า 200 ปีความแพร่หลายของแม่มดเกิดขึ้นทั่วไปทั้งชายและหญิง

ผู้ถูกกล่าวหาว่าฝึกเวทมนต์ที่เป็นอันตรายถูกข่มเหงอย่างกว้างขวางไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานที่ชัดเจนในการตัดสินลงโทษบุคคลที่มีคาถาการปรากฏตัวในความฝันก็เพียงพอแล้วที่จะฟ้องร้องใครสักคนจำนวนของชาวยุโรปที่ถูกประหารชีวิตในข้อหาใช้เวทมนตร์นั้นประมาณการไว้ตั้งแต่หลักหมื่นไปจนถึง 9 ล้านคนหลายคนถูกกล่าวหาอย่างเป็นทางการว่าฝึกหัดเยอรมันนั้นมีการประหารแม่มดมากที่สุด 

   แม้ว่าในปัจจุบันนี้จะยังคงมีความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องพ่อมดแม่มดอยู่แต่ก็ไม่ค่อยมีให้เห็นมากนักซึ่งส่วนใหญ่แล้วมักจะมีการแต่งกายเป็นพ่อมดแม่มดเฉพาะในช่วงเทศกาลเท่านั้นและปัจจุบันมีผู้คนก็มองว่าเรื่องพ่อมดแม่มดนั้นเป็นเพียงความเชื่อในตำนานหรือเป็นบุคคลที่มีอยู่ในตำนานเพียงเท่านั้นซึ่งในสมัยก่อนอาจจะมีอยู่จริงแต่ในปัจจุบันนั้นไม่มีใครเป็นพ่อมดแม่มดแล้ว

     อย่างไรก็ตามเมื่อไม่นานมานี้ได้มีนิตยสารฉบับหนึ่งได้มีการค้นพบในปัจจุบันนี้โลกของเรายังคงมีลัทธิแม่มดอยู่โดยมีชื่อเรียกว่า wicca  และพวกเขาก็เรียกตัวเองว่า wiccans พวกเขาถูกเข้าใจว่าเป็นพวกบูชาซาตานแต่จริงๆแล้วเป็นความเข้าใจที่ผิดเพราะซาตานและ lucifer เป็นความเชื่อในศาสนาคริสต์  แต่ว่าพวกนอกรีตส่วนใหญ่ไม่ใช่ศาสนาคริสต์จึงไม่มีแนวคิดเกี่ยวกับซาตานและการบูชามัน  

       ชาว wiccans หลีกเลี่ยงความชั่วร้ายและการปรากฏตัวของความชั่วร้ายในทุกวิธีทางคำขวัญของพวกเขาคือไม่ทำร้ายใครและพวกเขามุ่งมั่นที่จะใช้ชีวิตที่สงบสุข   อดทนและสมดุลโดยสอดคล้องกับธรรมชาติและมนุษยชาติ  แม่มดสมัยใหม่หลายคนยังคงใช้คาถาแต่ไม่ค่อยมีอะไรน่ากลัวเกี่ยวกับเรื่องนี้ 

หลายคนมีชุดของพิธีกรรมหรือสูตรอาหารที่พวกเขาใช้ในพิธีหรือเทศกาลโดยมี Book of shadows หรือหนังสือแห่งเงามืดเป็นเหมือนบันทึกประจำวันมีจุดมุ่งหมายทางจิตวิญญาณและบันทึกเวทมนตร์ที่มีประโยชน์ อาจรวมถึงชื่อและวันหยุดของนิกายภาษาพิธีกรรมอื่นๆรายชื่อสิ่งของต่างต่าง และสมุนไพรจากการสำรวจของ American religions identification Survey ระหว่างปี 2001 ถึง 2008 จำนวนชาว wicca เพิ่มขึ้นจาก 135000 คนเป็น 340000 คน 

 

สนับสนุนโดย.   ufabet เว็บไหนดี

ตำนานหอกลองกินุส ในพระวรสารฉบับนักบุญนิโคเดอะมูส

ตำนานหอกลองกินุส ในพระวรสารฉบับนักบุญนิโคเดอะมูสบันทึกไว้ว่าเมื่อพระเยซูถูกตรึงกางเขนมีนายทหารชาวโรมัน carsales ซึ่งตาใกล้จะบอดรับหน้าที่ใช้หอกแทงสีข้างพระเยซูเพื่อพิสูจน์ว่าสิ้นพระชนม์หรือยัง มาเรียนของพระองค์จะเซ็นมาถูกลองกินุสทำให้ตาที่มืดมัวกลับมามองเห็นได้อีกครั้ง

ลองกินุสจึงเกิดความศรัทธาและเข้าเป็นนักบวชในคริสต์ศาสนา  ต่อมาได้รับการยกย่องให้เป็นนักบุญลองกินุส  ส่วนหอกที่ใช้แทงพระเยซูได้รับการกล่าวขานว่าเป็นหอกศักดิ์สิทธิ์

      นอกจากชื่อหอกลองกินุสแล้วจึงถูกเรียกว่าหอกแห่งโชคชะตา  หอกศักดิ์สิทธิ์หรือหอกสังหารพระเจ้า 

สำหรับหอกเล่มนี้หายไปจากประวัติศาสตร์พักใหญ่และตกเป็นของจักรพรรดิคอนสแตนตินที่ 1 แห่งจักรวรรดิโรมันผู้วางรากฐานให้ศาสนาคริสต์กลายเป็นศาสนาประจำชาติโรมันได้สำเร็จซึ่งพระองค์เชื่อว่าเป็นเพราะพลังแห่งหอกลองกินุส พระองค์จึงตอกตะปูศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้ตรึงกางเขนพระเยซูลงไปตรงกลางใบทองเพื่อเพิ่มอำนาจพิเศษด้วย

          ต่อมาตกเป็นของพระเจ้าชาวเรือมหาราชผู้ก่อตั้งอาณาจักรโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ก็เชื่อว่าเป็นเพราะอานุภาพของหอกลองกินุเช่นกันปัจจุบันหอกศักดิ์สิทธิ์เล่มนี้ถูกเก็บรักษาไว้ในพระราชวังฮอฟบวร์กและเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้ทำกลางข้อสงสัยว่าหอกลองกินุสนี้มีพลังศักดิ์สิทธิ์ทรงอำนาจจริงหรือไม่

หรือเป็นเพียงแค่ตำนานเล่าขานเท่านั้นก็ฮิตเลอร์ที่ได้ครอบครองหอกแต่กลับต้องพ่ายแพ้สงครามและชื่อของหอกลองกินุสยังไม่ปรากฏอยู่ในภาพยนตร์และเกมชื่อดังในฐานะศาสตราศักดิ์สิทธิ์ในตำนาน 

      ตำนาน Codex Gigas 

Codex Gigas  หรือในภาษาอังกฤษหมายถึงหนังสือ เล่มยักษ์  เป็นหนังสือที่เขียนด้วยลายมือเก่าแก่  โดยหนังสือเล่มนี้มีขนาดที่ใหญ่มากทั้งความยาวและความสูง นอกจากนี้ยัง มีน้ำหนักมากถึง 75 กิโลกรัมหนังสือเล่มนี้ถูกเขียนขึ้นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 13 

ในราชอาณาจักรโบฮีเมียซึ่งปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของสาธารณรัฐเช็ก ซึ่ความลับของหนังสือเล่มนี้ นอกจากหน้าที่ใหญ่โตมโหฬารของมันแล้วยังเชื่อกันว่าผู้ที่เขียนหนังสือเล่มนี้คือนักบวชนอกรีดที่กำลังจะถูกลงโทษประหารชีวิต

         เนื่องจากบาปที่เขาก่อขึ้นเขาพยายามร้องขอล้างบาปด้วยการเขียนตำราเล่ม 1 ภายในคืนเดียวเป็นตำรารวบรวมองค์ความรู้ที่หลากหลายบนโลกใบนี้แต่เขาไม่สามารถเขียนตำราได้จบภายในคืนเดียวจึงขอความช่วยเหลือจากซาตานและเขียนภาพของซาตานขนาดใหญ่ไว้ที่หน้า 290 ของ หนังสือเพื่อขอบคุณซาตานปัจจุบันคัมภีร์ไบเบิ้ลปีศาจเล่มนี้ถูกเก็บรักษาไว้ที่หอสมุดแห่งชาติกรุงสตอกโฮล์มประเทศสวีเดน 

    และนี่คือสองตามนานที่น่าสนใจและน่าศึกษาหาความรู้เอาไว้ เป็นตำนานที่คนรุ่นปัจจุบันอาจจะไม่รู้จักกันแล้วนั่นเอง 

 

สนับสนุนโดย     gclub

รัฐเคาะลีฟาฮ์ อุมัยยะฮ์

    รัฐเคาะลีฟาฮ์ อุมัยยะฮ์ เป็นราชวงศ์แรกที่ก่อตั้ง รัฐเคาะลีฟาฮ์ อุมัยยะฮ์    ของศาสนาอิสลามขึ้นในปี 661 โดยมี  Muawiya ที่ 1 เป็นเคาลิฟาร์หรือผู้นำคนแรกของราชวงศ์และได้แผ่ขยายอาณาเขตออกไปอย่างกว้างขวาง  รัฐเคาะลีฟาฮ์ราชวงศ์อุมัยยะฮ์เคยมีพื้นที่ถึง 15 ล้านตารางกิโลเมตรหรือร้อยละ 10 ของพื้นที่โลก

         ในช่วงแรกเริ่มราชวงศ์อุมัยยะฮ์ยังคงรักษาขนบธรรมเนียมของศาสนาว่ายุคปลายของ  Muawiya ที่ 2 เขาคือคนสุดท้ายของราชวงศ์ไม่ปฏิบัติตนตามหลักศาสนาใช้จ่ายฟุ่มเฟือยและดื่มสุราทำให้ถูกโค่นล้มราชวงศ์ลงในปี 750 รูปหลานของอับบาสอับดุลมะกรูดตอนนี้รุ่นของศาสดามูฮัมหมัดที่จะกลายเป็นผู้ก่อตั้งราชวงศ์อับบาซียะในภายหลัง   

    จักรวรรดิสเปน

   จักรวรรดิสเปนคือจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลกแห่งหนึ่งจากการมีอาณานิคมอยู่ทั่วทุกมุมโลกในยุโรปอเมริกาเอเชียโอเชียเนียและแอฟริกาเป็นพื้นที่กว่า 19.4 ล้านตารางกิโลเมตร

การแสวงหาอาณานิคมของสเปนเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 โดยคริสโตเฟอร์โคลัมบัสที่นำกองเรือสำรวจของสเปนกองแรกเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกเพื่อแสวงหาดินแดนอาณานิคมในอเมริกาเป้าหมายใหม่ของจักรวรรดิสเปนและมีดินแดนกว้างใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา

         ในศตวรรษที่ 17 จักรวรรดิสเปนมั่งคั่งขึ้นจากการค้าขายกับ ขายกับอาณานิคมและการขุดนำโลหะมีค่าจากทวีปอเมริกากลับสู่แผ่นดินแม่บ้านในกองเรือสมบัติทุกๆปีจักรวรรดิสเปนเริ่มเสื่อมถอยลงในปี 1887 ถูกจักรพรรดินโปเลียนแห่งฝรั่งเศสเข้ายึดครองประกอบกับสงครามอิสรภาพสเปนอเมริกัน 1814- 1815

ส่งผลให้ดินแดนส่วนมากในอเมริกากลางและอเมริกาใต้ได้รับอิสรภาพในที่สุดช่วงศตวรรษที่ 20 จะเป็นเนื้อดินแดนในทวีปแอฟริกาบางส่วนเท่านั้นแต่ก็ค่อยๆถอนตัวออกจากดินแดนอาณานิคมทีละประเทศจนในปี 1976 เวสเทิร์นสะฮาราเป็นดินแดนสุดท้ายที่สเปนถอนตัวออกมา 

 จักรวรรดิรัสเซีย

       จักรพรรดิปีเตอร์ที่ 1 แห่งราชวงศ์โรมานอฟสถาปนาจักรวรรดิรัสเซียขึ้นมาในปี 1721 แผนที่อาณาจักรซารัสเซียมีพื้นที่กว้างใหญ่กว่าร้อยละ 15.30 ของพื้นที่โลกหรือ 22.8 ล้านตารางกิโลเมตร แต่แรกเริ่มจักรวรรดิรัสเซียไม่ค่อยเป็นที่รู้จักนะจนกระทั่งมีการปฏิรูปจักรวรรดิขึ้นมาใหม่ทั้งหมดเมื่อครั้งพระเจ้าปีเตอร์มหาราชขึ้นครองราชย์ทำให้หลังจากนั้นมาจักรวรรดิรัสเซียจึงกลายเป็นหนึ่งในจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก

        อย่างไรก็ตามช่วงศตวรรษที่ 20 เกิดกระแสปฏิวัติขึ้นทั่วโลกจักรวรรดิรัสเซียขนาดนั้นเป็นช่วงตกต่ำสภาพเศรษฐกิจถดถอยประชาชนอดอยากและยังพ่ายแพ้สงครามถึง 2 ครั้งในสงครามรัสเซียญี่ปุ่นและสงครามโลกครั้งที่ 1 เริ่มเกิดกระแสการต่อต้านราชวงศ์โรมานอฟมากขึ้นอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งเดือนกุมภาพันธ์ ปี 1917 พรรคบอลเชวิคที่นำโดยวลาดิเมียร์เลนินไส้กรอกการปฏิวัติโค่นล้มราชวงศ์โรมานอฟที่ถือเป็นการล่มสลายของจักรวรรดิรัสเซีย 

 

สนับสนุนโดย.   ufabet ทางเข้าเล่น

โมนาลิซ่า ภาพปริศนา ที่คนทั่วโลกอยากรู้ โมนาลิซ่า คือใคร

โมนาลิซ่า ภาพปริศนา เชื่อว่าหลายคนคงเคยได้ยินภาพเกี่ยวกับโมนาลิซ่ากันมาบ้าง ไม่ว่าจะเป็นคนที่ชื่นชอบผลงานด้านศิลปะหรือไม่ก็ตาม เพราะว่าดภาพนี้มีการพูดถึงกันอย่างแพร่หลาย และมีหลายคนอยากรู้ว่าทำไมดภาพนี้ถึงมีราคาแพงมากมาก ที่สำคัญสิ่งที่ทุกคนรู้เกี่ยวกับภาพนี้ก็คือ เป็นภาพหญิงสาวที่สวยที่สุดในโลก

       อย่างไรก็ตามสำหรับคนที่อยู่ในวงการภาพวาด วงการศิลปะแล้ว

จะมีความต้องการอยากรู้สึกลงไปมากว่านี้สิ่งที่หลายคนอยากรู้ก็คือ หญิงสาวที่อยู่ในภาพเป็นใครทำไม นักวาดดภาพที่มีชื่อเสียงระดับโลกถึงได้เอามาเป็นแบบสำหรับวาดภาพ 

    โมนาลิซ่าจิตรกรรมชิ้นเอกของ Leonardo Da Vinci และเรียกได้ว่าเป็นภาพวาดที่โด่งดังมากที่สุดในโลกแต่ภาพหญิงสาวนี้ซ่อนปริศนาสำคัญเอาไว้นั่นก็คือโมนาลิซ่าเป็นใครมีทฤษฎีที่ว่าโมนาลิซ่าคือภรรยาพ่อค้าไหมชาว For Rent คนอื่น

     จากบันทึกของ  Giorgio vasari จิตรกรและสถาปนิกชื่อดังของอิตาลีในยุคเรเนซอง  บันทึกว่าพ่อค้าชาว For Rent นำว่าฟรานเชสโก้ เดลจิคอนโดได้ว่าจ้างให้ดาวินชี่วาดภาพลิซ่า เดลจิคอนโด  ภรรยาของเขาเพื่อเป็นของขวัญ  ดาวินชี่ใช้เวลากว่า 4 ปีในการวาดภาพหญิงสาวผู้นี้ได้ยังไม่ทันเสร็จดีเขาก็ถูกกษัตรฟาร์ซิสที่ 1 เรียกตัวไปฝรั่งเศสและเขายังพกภาพนี้ติดตัวไปด้วยตลอดจนกระทั่งเสียชีวิตอีกด้วย

   โดยทางลูฟร์ ออกมายืนยันว่า Lisa del ray Condo เป็นแบบวาดภาพโมนาลิซ่าจริงๆแต่ไม่สามารถยืนยันได้ว่าเธอคือแบบให้กับภาพชิดจัดแสดงอยู่ที่ลูฟร์ นั่นก็เพราะว่ายังมีหลักฐานอีกหลายชิ้นว่าภาพวาดโมนาลิซ่าอาจมีมากกว่า 1 ภาพและใช้นางแบบคนละคนกันเช่นทฤษฎีของปาสคาลนักวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศสที่เชื่อว่านี่คือ risa taneda ยิ่งที่ดาวินชี่เคยจ้างมาให้เป็นแบบวาดภาพ

        โดยใช้เทคโนโลยีถ่ายภาพขั้นสูงขยายภาพวาดให้เห็นว่ามีหญิงสาวอีกคนหนึ่งอยู่ใต้ภาพวาดโดยเธออยู่ในท่วงท่าที่คล้ายคลึงกับโมนาลิซ่าแต่รูปส่งใบหน้าและดวงตาอยู่ในตำแหน่งที่ต่างกันเล็กน้อย

         หรือทฤษฎีที่ว่าเธอคือภรรยารับของขุนนางตระกูลเมดิซีตระกูลที่กุมอำนาจอิตาลีในขณะนั้นโดยมีบันทึกของผู้ที่เคยไปเยี่ยมที่พักของดาวินชีเป็นหลักฐานยืนยันอย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าจะมีหลากหลายทฤษฎีข้อสันนิษฐานและหลักฐานมาระบุตัวตนที่แท้จริงของโมนาลิซ่าและปริศนาของเธอก็ยังเป็นที่สงสัยและยังคงเป็นสิ่งที่คนหาคำตอบมากกว่า 5 ศตวรรษ 

 

สนับสนุนโดย.   ติดต่อ ufabet

ความเชื่อเกี่ยวกับ 2 อัญมณีเลอค่าของโลก

หากมีการพูดถึงอัญมณีนั้น ไม่ว่าผู้หญิงหรือผุ้ชายต่างก็ชื่นชอบด้วยกันทั้งนั้น   เพราะอัญมณีนั้นเป็นสิ่งล้ำค่า  ไม่ใช่เพียงแค่ก้อนหินที่มีความสวยงาม แต่มันมีมูลค่ามากมายมหาศาลเลยทีเดียว นอกจากนี้อัญมณีบางชนิดนั้นมีเรื่องราวความเป็นมาอย่างยาวนาน มีอายุเก่าแก่ที่ทรงคุณค่าแก่การเก็บรักษา และสามารถแปรเปลี่ยนมาเป็นเงินได้หากมีเรื่องจำเป็นต้องใช้เงิน

           อย่างไรก็ตามในบทความนี้เราจะมาพูดถึงอัญมณีที่ล้ำค่าระดับโลก 2 ชิ้นที่ทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ และมีอายุเก่าแก่หลายร้อย หลายพันปี ซึ่งปัจจุบันกลายมาเป็นอัญมณีล้ำค่าที่หายาก และยังมีเรื่องราวเล้นลับซ่อนอยู่ในเรื่องราวของอัญมณีเหล่านี้อีกด้วย ซึ่งอัญมณีดังกล่าวได้แก่ 

              skystone หรือหินสีฟ้าลึกลับการ์ตูนถูกค้นพบโดย Anthony นักธรณีวิทยาชาวอิตาลีที่ถูกว่าจ้างให้ไปสำรวจหาอัญมณีล้ำค่าในระหว่างที่กำลังสำรวจบริเวณชายแดนของประเทศเซียร์ราลีโอนพิมพ์งานได้พบกับวัตถุปริศนาเป็นก้อนหินสีฟ้าใสเหมือนกับสีน้ำทะเลเมื่อเขานำกลับมายังยุโรปเพื่อนำหินลึกลับนี้ให้กับสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ประเทศอิตาลีและประเทศเนเธอร์แลนด์เพื่อทำการตรวจสอบพบว่ามันเป็นหินที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน

          โดยมีองค์ประกอบของแก๊สออกซิเจนสูงกว่า 70% และส่วนประกอบอื่นๆอาทิคาร์บอนสิริกรแคลเซียมอีกอย่างละเล็กน้อยนักวิจัยได้ทำการตรวจสอบสารประกอบอินทรีย์ภายในก้อนหินลึกลับนี้ซึ่งคาดว่ามันมีอายุถึง 15000 ถึง 50 ปีทำให้แม้แต่นักวิทยาศาสตร์ก็ยังตั้งคำถามว่าแล้วมันมาจากไหนและเกิดขึ้นได้อย่างไร

          โดยมีทฤษฎีได้ตั้งสมมุติฐานเกี่ยวกับการตุนเอาไว้ว่ามันอาจจะเป็นร่องรอยของอารยธรรมที่สาบสูญไปก็เป็นได้หรืออาจจะเป็นแร่ธาตุที่มาจากนอกโลกโดยมีผู้มาเยือนจากต่างดาวที่มีอารยธรรมและเทคโนโลยีสูงทิ้งไว้บนโลกทางนี้ถึงแม้ว่าก้อนหินดังกล่าวจะเป็นแร่ธาตุใหม่จะเป็นที่น่าแปลกใจว่าเป็นแร่ธาตุที่เคยถูกค้นพบในประเทศโมร็อกโกเช่นเดียวกัน 

      philosopher’s stone  สำหรับหินชนิดนี้มีชื่อเสียงโด่งดังมาก หลายคนอาจจะเคยได้ยินชื่อหินชนิดนี้กันมาบ้างแล้ว เพราะหินชนิดนี้มีชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า หิน ศิลานักปราชญ์   ว่ากันว่าหินชนิดนี้มีความสามารถพิเศษมากมาย เป็นหินที่ผู้คนเสาะแสวงหาอยากเป็นเจ้าของครอบครองหินชนิดนี้กัน  

         สำหรับหินชนิดนั้นนั้นเป็นสสารของการเล่นแร่แปรธาตุ  โดยหิน philosopher’s stone บางคนจะรู้จักกันดีมากจากภาพยนต์เรื่องศิลาอาถรรภ์ ก็มีการพูดถึงชือ่หินชนิดนี้ในตอนหนึ่งของเรื่องเช่นเดียวกัน มีตำนานเกี่ยวกับหินชนิดนี้มากมาย เกี่ยวกับคุณสมบัติของมัน ไม่ว่าจะเป็ฯ มันสามารถทำให้คนที่กินหินชนิดนี้เข้าไปแล้ว ไม่แก่และไม่ตาย เปรียบได้ว่าหินชนิดนี้คือยาอายุวัฒนะเลยทีเดียว 

           นอกจากนี้ยังมีการกล่าวด้วยว่าหินชนิดนี้สามารถเปลี่ยนโลหะฐานเช่นตะกั่วให้เป็นทองคำหรือเงินได้ ดังนั้นหากใครมีไว้ในครอบครองก็จะมีความสุขเป็นอย่างมาก ที่สำคัญหินชนิดนี้ยังมีคุณสมบัติที่สามารถทำให้คนตายฟื้นกลับคืนมาได้อีกด้วย อย่างไรก็ตามนี่เป็นเพียงแค่ความเชื่อและตำนานเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงไม่มีใครเคยเห็นหินชนิดนี้มาหลายร้อยปีแล้ว 

     

สนับสนุนโดย.    gclub ผ่านเว็บ

ประเพณีการฉลองปีใหม่ที่แปลกประหลาด

ในช่วงเทศกาลวันปีใหม่ ผู้คนแต่ละประเทศจะมีการเฉลิมฉลองกัน ซึ่งเราจะนำข้อมูลเกี่ยวกับประเทศที่มีการฉลองช่วงปีใหม่ที่แปลกประหลาด เรียกได้ว่าทำกันเป็นประเพณีประจำทุกปี มาให้ทราบกัน

ชิลี ฉลองปีใหม่ในสุสาน 

      เมืองทาค่า เมืองเล็กๆในประเทศชิลีซึ่งมีประเพณีฉลองปีใหม่ที่แปลกตาอาจจะดูหลอนอยู่สักหน่อยพวกเขาจะใช้เวลาฉลองปีใหม่ในสุสานกับคนในครอบครัวที่เสียชีวิตไปแล้วซึ่งในทุกๆคืนวันปีใหม่ช่วงเวลาประมาณ 23:00 น สุสานที่มีแต่เสียงเพลงคลาสสิคบรรเลงและถูกประดับประดาไปด้วยแสงไฟสลัวสลัวประตูทางเข้าสุสานจะถูกเปิดขึ้น

โดยนายกของเมืองเล็กๆแห่งนี้เพื่อให้ชาวเมืองได้เข้าไปร่วมฉลองกับคนในครอบครัวที่จากไปแล้วในเวลา 24:00 น นี้พวกเขาเชื่อกันว่าครอบครัวควรจะเริ่มต้นปีใหม่พร้อมหน้าพร้อมตากันด้วยความรักถึงแม้จะตายไปแล้วก็ตาม 

 ประเพณีเขวี้ยงจาน ในประเทศเดนมาร์ก

        ประเพณีแปลกๆในวันปีใหม่ของประเทศเดนมาร์กก็คือการนำจานชามที่แตกได้ไปเขวี้ยงใส่ตามประตูบ้านของเพื่อนบ้านในวันสุดท้ายของปีและบ้านไหนที่มีเศษจาน และชามกองพะเนินอยู่หน้าบ้านมากที่สุดจะถือว่าบ้านนั้นจะโชคดีมากที่สุดแล้วหมายความว่าคนในบ้านนั้นมีเพื่อนและคนที่รักเยอะกว่าใครใครนั่นเอง นอกจากนั้นชาวเดนมาร์กยังมีประเพณีการกระโดดลงจากเก้าอี้ตอนเวลาเที่ยงคืนของวันขึ้นปีใหม่ด้วยเชื่อกันว่าเพื่อเป็นการขับไล่สิ่งชั่วร้ายออกไปและพร้อมกระโดดรับสิ่งดีๆในวันปีใหม่ 

    Ecuador เผาหุ่นไล่กา  

        ชาวเอกวาดอร์แต่ละบ้านจะประดิษฐ์หุ่นไล่กาเป็นตัวแทนของคนใดคนหนึ่งในบ้านด้วยเสื้อผ้าเก่าๆและด้านในของตัวคุณก็จะถูกยัดด้วยหนังสือพิมพ์เก่าและขี้เลื่อยเมื่อถึงเวลาเที่ยงคืนตรงพวกเขาจะออกมารวมตัวกันนอกบ้านและทำการเผาอุ่นพร้อมกับเผารูปถ่ายของสิ่งที่เป็นตัวแทนไปพร้อมกันอีกด้วยซึ่งสื่อถึงความหมายว่าเป็นการกำจัดสิ่งโชคร้ายต่างๆที่ประสบพบเจอมาในปีที่ผ่านมาแล้วเริ่มต้นปีใหม่กับชีวิตใหม่แต่ในปัจจุบันไม่ใช่เรื่องแปลกที่บางทีจะเห็นคุณของนักการเมืองหรือคนดังที่ถูกเผาในค่ำคืนนี้ด้วยเช่นกัน 

   โรมาเนียแต่งตัวเป็นหมี

       โรมาเนียประเทศที่มีประชากรหมีน้ำตาลเยอะมากที่สุดในยุโรปในช่วงวันปีใหม่ช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนธันวาคมชาวบ้านในโรมาเนียจะแต่งกาย คลุมด้วยหนังหมีจริงๆแล้วออกไปเดินตามท้องถนนเต้นรำดื่มฉลองและเยี่ยมเพื่อนฝูงซึ่งเป็นประเพณีหนึ่งที่เก่าแก่ของโรมันเนีย แม้ว่าจะยังไม่ชัดเจนว่าเก่าแก่แค่ไหนแต่พวกเขาถือว่าเป็นการขับไล่วิญญาณและสิ่งชั่วร้ายออกจากตัวให้หมดไป

 

สนับสนุนโดย.   Gclub ฝากถอนไม่มีขั้นต่ำ

สุดยอดแห่งผลงานด้านศิลปะของไทย พิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ

สำหรับประเทศไทยเรามีชื่อเสียงโด่งดังเกี่ยวกับเรื่องของสัตว์ประจำประเทศนั่นก็คือช้างซึ่งนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่นั้นจะเดินทางมาเที่ยวและมีโอกาสไปเยี่ยมชมสวนช้าง  ดังนั้นเมื่อช้างคือสัตว์มงคลของไทยและเรียกได้ว่าเป็นสัตว์ประจำชาติของไทยนั้นประเทศไทยจึงได้มีการสร้างพืชพันธุ์ขึ้นมาเพื่อเป็นการอนุรักษ์ข้อมูลเกี่ยวกับช้างของไทยดังกล่าวนั้นมีชื่อเรียกว่าพิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณนั่นเอง

        สำหรับพิพิธภัณฑ์แห่งนี้นั้นเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ทางบริษัทเอกชนร่วมมือกันสร้างเป็นผลิตภัณฑ์ขึ้นมาซึ่งเป็นวันแห่งนี้นั้นเป็นปัจจุบันที่มีชื่อเสียงโด่งดังในระดับโลก นักท่องเที่ยวจากโลกนั้น

ต่างก็พากันรู้จักพี่แห่งนี้และเมื่อมีโอกาสเดินทางมาเที่ยวที่ประเทศไทยก็ต้องแวะไปเที่ยวแห่งนี้เช่นเดียวกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งนักท่องเที่ยวที่เป็นชาวจีนนั้นมักจะมีการทำทัวร์มาเที่ยวที่พิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณเลยทีเดียว

       สำหรับภายในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้นั้นสิ่งแรกที่จะทำให้นักท่องเที่ยวตื่นตาตื่นใจมากก็คือหอคอยช้างเอราวัณซึ่งที่นี่บอกได้เลยว่าจะมีความงดงามเป็นอย่างมากตัวหอคอยนั้นจะอยู่ด้านบนสุดของตัวสิ่งก่อสร้างซึ่งภายในนั้นจะมีศิลปะและสถาปัตยกรรมมาประดับตกแต่งต่างๆมากมายตัวหอคอยนั้นด้านนอกนักท่องเที่ยวจะมองเห็นเป็นรูปเศียรช้างหรือว่าหัวช้างนั่นเอง

และทางด้านในนั้นจะมีเสาแกะสลักเป็นการแกะสลักศิลปะของไทยนอกจากนี้ยังมีพระพุทธรูป ให้นักท่องเที่ยวได้กราบไหว้เมื่อเดินทางมาพิพิธภัณฑ์แห่งนี้อย่างไรก็ตามศิลปะและประติมากรรมต่างๆที่ถูกจัดแสดงไว้ที่บริเวณหอคอยช้างอาละวาดแห่งนี้นั้นนับได้ว่าเป็นศิลปะที่มีความงดงามอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ซึ่งที่นี่นั้นนับได้ว่าเป็นศิลปะที่ยิ่งใหญ่อันดับโลกเลยทีเดียว

     นอกจากเรื่องของรูปปั้นประติมากรรมต่างๆแล้วเครื่องประดับตกแต่งเพื่อเพิ่มความงดงามและสร้างสีสันให้กับตัวอาคารนั้นก็มีส่วนสำคัญในการทำให้พิพิธภัณฑ์แห่งนี้กลายเป็นที่ดึงดูดและเป็นจุดสนใจของนักท่องเที่ยวได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้มีการทำกระจกสีมาติดเป็นลวดลายต่างๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งทำเป็นแผนที่โลกซึ่งบอกได้เลยว่าศิลปะแบบนี้นั้นแทบจะไม่มีให้เห็นจากที่อื่นนอกจากที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เพียงเท่านั้น

       ด้านในพิพิธภัณฑ์นอกจากเราจะเห็นศิลปะประติมากรรมต่างๆที่มีความเกี่ยวพันเกี่ยวกับช้างเอราวัณแล้วยังมีภาพวาดสีน้ำ ซึ่งภาพวาดที่ถูกนำมาจัดแสดงไว้ที่พิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณแห่งนี้นั้นจะเป็นสไตล์ญี่ปุ่นนอกจากนี้ยังมีการจัดโซนภาพวาดนี้ให้มีความคล้ายคลึงกับประเทศญี่ปุ่นไม่ว่าจะเป็นการร้ายญี่ปุ่นหรือโต๊ะเก้าอี้สไตล์ญี่ปุ่นเรียกได้ว่าโซนนี้เป็นโซนของศิลปะวัฒนธรรมของญี่ปุ่นโดยเฉพาะเลยทีเดียว 

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย.    สล็อต ufabet เว็บตรง

ประวัติความเป็นมาของ The Haitian Revolution

     ในช่วงคริสราช 1791 – 1804 หลายคนอาจไม่คุ้นเคยกับการปฏิวัติในดินแดนอเมริกาเหนือครั้งนี้

แต่ว่าในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองโลกแล้วนี่คือการปฏิวัติครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่งในศตวรรษที่ 17 ฝรั่งเศสปกครองดินแดนเฮติหรือแซงโดแมงต่อจากสเปน โดย เฮติเป็นแหล่งผลิตปลูกอ้อยวัตถุดิบในการทำน้ำตาลขนาดใหญ่  ว่ากันว่าน้ำตาลกว่าร้อยละ 40 ในยุโรปขึ้นจากอ้อยในเฮติและติดยังเป็นแหล่งส่งออกกาแฟขนาดใหญ่ในยุโรปอีกด้วยเรียกได้ว่าเป็นอาณานิคมที่สร้างรายได้ให้กับเมืองแม่อย่างมหาศาล  

           อย่างไรก็ตามผลประโยชน์มหาศาลของฝรั่งเศสก็ต้องแลกมาด้วยความทุกข์ยากของทาสผิวดำในอาณานิคมที่ถูกกดขี่มาเป็นเวลานาน แต่ขณะนั้นที่เฮติหรือแชงโดแมงแบ่งประชาชนออกได้เป็น 4 กลุ่มคือ 1 นายทุนผิวขาวที่เป็นเจ้าของไร่ต่างๆ 2 คนผิวดำอิสระที่เกิดจากคนผิวขาวและชนพื้นเมือง 3 คนผิวขาวอิสระที่ไม่ได้เป็นนายทุนและ 4 กลุ่มทาสผิวดำจากแอฟริกาที่ถือเป็นชนกลุ่มใหญ่ที่สุดในประเทศ 

       ใน คริสราช 1791 พวกเขาได้แรงบันดาลใจในการลุกขึ้นสู้จากคำประกาศสิทธิมนุษยชน การปฏิวัติที่ฝรั่งเศสเมืองแม่ว่าสมัชชาแห่งชาติจะมอบอิสระในการปกครองตนเองให้กับพวกเขาทว่ากลับไม่เป็นเช่นนั้นพระราชบัญชาแห่งชาติได้

มอบอิสระดังกล่าวให้แค่กับคนผิวขาวที่อยู่ในอาณานิคมเท่านั้นเหล่าทาสในแซงโดแมงรู้สึกเหมือนกับคนที่ถูกหักหลังความอดทนของพวกเขาสิ้นสุดลงและตัดสินใจที่จะลุกขึ้นมาปฏิบัติด้วยตนเองไม่สามารถพึ่งสมัชชาแห่งชาติได้  

         Toussaint L’ Ouverture  อดีตทาสผิวดำในอาณานิคมที่เคยถูกกดขี่ก็เลยขึ้นมาเป็นผู้นำในการปฏิวัติกองกำลังของกลุ่มฆ่าสังหารคนผิวขาวในอาณานิคมไปมากมาย  แม้ว่าฝรั่งเศสจะได้ความช่วยเหลือจากอังกฤษที่กลัว ว่าอาณานิคมของตนเองจะก่อการปฏิวัติขึ้นมาเช่นกันแต่กองทัพของพวกเขาก็ต้องพ่ายแพ้ต่อ แซงโดแมงในปี 1789 ทำให้เหล่าทาสเข้ายึดครองดินแดนในแซงโดแมงได้ทั้งหมดและ ลูแวร์ตูร์ ได้สถาปนาตนเองขึ้นเป็นผู้นำสูงสุดของหมู่เกาะ อิสปันโญลา

         อย่างไรก็ตาม ลูแวร์ตูร์ กลับต้องไปเสียชีวิตที่คุกในฝรั่งเศสจากการถูกกองกำลังของนโปเลียนโบนาปาร์ตที่ต้องการหรือระบบทาสขึ้นมาใหม่ในค.ศ 1802  Jean-Jacques Desslines  อีกคนสำคัญในการปฏิวัติจึงขึ้นเป็นกองทัพชาวผิวดำจนได้รับชัยชนะที่ยุทธการเวอร์เทียร์ในปี 1803

และได้มีการสถาปนาตนเองขึ้นเป็นปฐมกษัตริย์ ของจักรวรรดิเฮติ ในปี 1804  ดังนั้นเฮติจึงเป็นประเทศแรกในโลกที่มีการปฏิวัติโดยทาสซึ่งในมุมมองของนักประวัติศาสตร์นี่คือการปฏิวัติจากคนผิวดำที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดครั้งหนึ่ง 

 

 

ได้รับการสนับสนุนโดย.    ทางเข้าufabet168