แม่ใจยักษ์เอาลูกไปทิ้ง อ้างไม่มีปัญญาเลี้ยง

เป็นข่าวที่น่าสลดใจช่วงวันเด็กอีกข่าว คือ  เมื่อเช้าวันที่ 12 มกราคม ตำรวจภูธรเมืองลพบุรี ได้รับแจ้งว่า มีเด็กน้อยผู้หญิงอายุประมาณ 2 ขวบได้ถูกผู้เป็นแม่นำมาทิ้งไว้ที่หน้าสถานสงเคราะห์บ้านเด็กจังหวัดลพบุรี จากการสอบสวนนักสังคมสงเคราะห์ที่อยู่ในเหตุการณ์เล่าว่า เมื่อเช้าขณะที่ตนกำลังนั่งทำงานอยู่ ได้ยินเสียงกดออดดังขึ้น

จึงลุกไปชะโงกหน้าดูที่ประตู พบว่ามีเด็กผู้หญิงอายุประมาณ 2 ขวบ ยืนอยู่ ในมือมีถุงหิ้วที่ใส่เสื้อผ้ากับตุ๊กตาและจดหมายหนึ่งฉบับ  ตนจึงรีบวิ่งออกไปที่หน้าประตู เห็นมีผู้หญิงคนหนึ่งกำลังรีบบิดมอเตอร์ไซด์หนีไป เนื้อความในจดหมายบอกประมาณว่า ผู้หญิงคนดังกล่าวไม่มีปัญญาเลี้ยงดูลูก และสามีใหม่ของเธอก็ไม่อยากรับเลี้ยง

ถ้าลูกอยู่กับเธอคลาดว่าจะไม่ได้เรียนหนังสือ  เธอจึงนำลูกสาวมายกให้สถานสงเคราะห์เป็นผู้ส่งเสียเลี้ยงดู  และตนได้สังเกตเห็นร่องรอยเขียวช้ำตามตัวเด็ก จึงได้มาแจ้งความให้ตำรวจลงบันทึกประจำวันไว้ ก่อนจะนำตัวเด็กไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล

เมื่อข่าวดังออกไปทางผู้สื่อข่าวได้ติดตามเรื่องทำให้ทราบว่าเด็กหญิงสองขวบคนนี้ชื่อว่า น้องออมสิน แม่ของเด็กเป็นคนสุพรรณบุรี ได้ตัดสินใจขี่มอเตอร์ไซด์จากบ้านที่สุพรรณบุรี พาลูกนั่งซ้อนท้ายเอามาทิ้งไว้ที่หน้าสถานสงเคราะห์บ้านเด็กลพบุรี เนื่องจากอ้างว่าไม่มีปัญญาเลี้ยงลูก เพราะตอนนี้ตัวเองก็มาอาศัยอยู่กับสามีใหม่และต้องมาเลี้ยงลูกติดของสามีด้วย  ถ้าน้องออมสินอยู่ด้วยคิดว่าคงไม่มีปัญญาส่งเรียนหนังสือ อีกอย่างตัวเองเป็นคนอารมณ์ร้ายกลัวว่าสักวันอาจตีลูกถึงตายได้   

ด้านพ่อแท้ๆของน้องออมสินก็ติดต่อเข้ามาว่าได้เห็นข่าวน้องก็ตกใจไม่คิดว่าแม่เค้าจะเอาเค้ามาทิ้งได้ ผู้สื่อข่าวเลยถามกลับไปว่า แล้วคุณพ่อจะเอายังไงจะเอาน้องกลับไปเลี้ยงไหม ตัวพ่อเองก็รีบปฏิเสธเลยว่าคงเอาไปเลี้ยงไม่ได้หรอกครับเพราะผมเองก็ฐานะทางบ้านไม่ดีอีกอย่างตอนนี้ก็มีครอบครัวใหม่และมีลูกใหม่ต้องเลี้ยงดูแล้ว

ได้ฟังทั้งพ่อและแม่น้องพูดแล้วสรุปไม่มีใครต้องการเอาน้องไปเลี้ยงเลยสักคน น่าสงสารเนอะ ตอนที่มีอะไรกันไม่รู้จักป้องกันปล่อยให้ท้องจนเด็กเกิดมาก็ไม่มีปัญญาเลี้ยงกลายเป็นภาระของสังคมอีก เท่าที่ดูข่าวด้วยความเป็นเด็กน้องยังวิ่งเล่นร่าเริงดีคงไม่รู้ว่าโดนพ่อแม่เอามาทิ้ง แต่ก็ไม่ต้องเป็นห่วงแล้วเพราะตอนนี้น้องออมสินได้เข้าไปอยู่ในความดูแลของสถานสงเคราะห์บ้านเด็กเรียบร้อยแล้ว

 

ได้รับการสนับสนุนโดย   ufabet

ความลับจาก The Vitruvian Man

ลีโอนาร์โด ดาวินชี่นั้นเป็นศิลปินที่มีชื่อเสียงก้องโลกและมีผลงานหลายชิ้นของเขาได้รับความนิยมและยังคงเป็นสิ่งที่มีการพูดถึงอยู่ในทุกยุคทุกสมัย เนื่องจากผลงานของเขาที่มีความสวยงาม โดดเด่นและมีความเป็นเอกลักาณ์ยากที่จะหาใครเปรียบ และไม่เพียงแค่ความสวยงามของผลงานเท่านั้นที่ทำให้คนทั้งโลกนั้นสนใจ

แต่ความลึกลับในการสร้างสรรค์ผลงานของเขานั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้คนทั้งโลกนั้นสนใจในการสร้างสรรค์ของเขาไม่น้อยเลยทีเดียว โดยส่วนใหญ่แล้วผลงานที่ดาวินชี่นั้นมีการสร้างสรรค์มักจะมีสิ่งที่มีความหมายแฝงหรือสิ่งที่เหมือนเป็นความลับที่เขานั้นไม่สามารถพูดออกมาได้

ทำให้เขานั้นมีการถ่ายทอดสิ่งเหล่านั้นออกมาทางภาพวาดของเขานั้นเอง เพราะภาพวาดของดาวินชี่นั้น ล้วนเป็นภาพวาดที่ดูแล้วมีความลึกลับซ่อนอยู่เสมอ และเป็นภาพวาดที่ใรบางครั้งทำให้เกิดความสงสัยว่า จริงๆแล้วนั้นดสวินชี่สร้างสรรค์ผลงานชิ้นนี้ขึ้นมาเพื่อจะสื่อสารอะไรกับผู้พบเก็นกันแน่

ซึ่งผลงานของดาวินชี่นั้นมีผลงานมากมาย เพราะจากภาพวาดโมนาลิซ่าที่ถือว่าเป็นภาพสุดยอกของโลกเพราะไม่ว่าจะในยุคด ภาพวาดนี้ก็ยังคงเป็นสิ่งที่พูดถึงอยู่เสมอ ไม่เพียงด้วยความสวยงามแต่มีความลึกลับซ่อนอยู่นั่นเอง และอย่างที่บอกไปในข้างต้นว่าภาพวาดของดาวินชี่นั้นล้วนเป็นภาพที่ไม่ธรรมดาเลย

เพราะล้วนเป็นภาพที่หเมือนจะมีอะไรแฝงอยู่ในภาพนั่นเอง และภาพที่ถือว่าเป็นภาพที่โด่งดังไปทั่วโลกเช่นกันก็คือ ภาพ The Vitruvian Man นั่นเอง โดยภาพวาดนี้นั้นเป็นภาพวาดร่างกายของมนุษย์และเป็นมนุษย์ที่มีลักษณะเป็นผู้ชายและมีการเปลือยร่างและแยกแขนแยกขา ภาพวาดนี้นั้นถูดชกยกย่องให้เป็นภาพวาดที่มีความถูกต้องที่สุดในเรื่องของสรีระร่างกายมนุษย์ด้วยนั่นเอง

และภายในภาพวาดนี้นั้น ร่างกายมนุษย์ในภาพถูกล้อมไปด้วยกรอบสี่เหลี่ยมและงกลม แต่สรีระนั้นไม่มีส่วนใดส่วนหนึ่งยื่นเลยออกมาจากสี่เหลี่ยมหรือวงกลมเลยนั่นเอง และโดยรอบวงกลมและกรอบสี่เหลี่ยมนั้นยังเต็มไปด้วยตัวอักษรโดยการบันทึกของเขานั้นเป็นการบันทึกที่มีลักษณะที่แปลกมาก เพราะเขาได้บันทึกตัวอักษรในลักษณะกลับด้าน โดยในข้อความนั้นระบุไว่ว่า การวาดภาพนี้ขึ้นมานั้นเป็นเพียงการทดลองและจำลองสรีระร่างกายของมนุษย์เท่านั้น 

ซึ่งก่อนหน้านี้ก็มีคนลองวาดภาพเพื่อศึกษาสรีระร่างกายมนุษย์หลายคนแต่ก็ไม่สามารถวาดได้สำเร็จเพราะการวาดสรีระนั้นเป็นการวาดคนยัดลงไปในสี่เหลี่ยมจตุรัสที่อยู่ในรัศมีของวงกลมนั่นเอง โดยของดาวินชี่นั้นเป็นภาพวาดที่มี่วนประกอบที่ถูกต้องของสรีระมนุษย์แต่ของคนอื่นนั้นพบว่าเมื่อวาดเช่นนี้แล้ว

สรีระและส่วนประกอบของร่างกายมีความผิดแปลกออกไปจากความเป็นจริงนั่นเอง จึงทำให้ภาพนี้นั้น เป็นอีกหนึ่งภาพที่ได้รับความนิยมและเป็นภาพวาดที่ทำให้หลายคนนั้นได้รู้จักกับศิลปินแห่งยุคอย่างลีโอนาร์โด ดาวินชีคนนี้นั่นเอง

 

สนับสนุนโดย   www.ufabet.com ลิ้งเข้าระบบ

ตำนานค่ายลูกเสือที่จังหวัดระยอง

       สำหรับเรื่องราวตำนานค่ายลูกเสือที่จังหวัดระยองนั้นเป็นตำนานเกี่ยวกับวิญญาณของเด็กชายคนหนึ่งที่เสียชีวิตตอนที่เขามาเข้าค่ายลูกเสือแห่งนี้ซึ่งเรื่องราวน่ากลัวนี้ถูกเล่าขานต่อๆกันมาและถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ในเรื่องวันหมาหอนที่ค่ายลูกเสือโดยเรื่องราวนี้มีการเล่าลือกันว่าที่ค่ายลูกเสือแห่งนี้ตั้งอยู่ที่จังหวัดระยองโดยมีการก่อตั้งเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2517

  โดยเป็นการเปิดให้ลูกเสือมาเข้าค่ายที่นี่เป็นครั้งแรกซึ่งมีการเล่าว่าในการเข้าค่ายครั้งนั้นมีเด็กนักเรียนชายคนหนึ่งหายออกไปจากค่ายลูกเสือและเมื่อมีการตามหาก็ไม่พบเด็กชายคนดังกล่าวซึ่งในบริเวณค่ายลูกเสือนั้นมีหนองน้ำอยู่แห่งหนึ่งเจ้าหน้าที่พยายามค้นหาร่างเพราะคิดว่าเด็กชายคนดังกล่าวนั้นอาจจะเสียชีวิตจากการจมน้ำจึงได้มีการสูบน้ำออกจากหนองน้ำแห่งนั้น

แต่ก็ไม่พบร่างของเด็กชายคนดังกล่าวเลยจนในที่สุดค่ายลูกเสือดังกล่าวก็ถูกปิดตัวลงและที่บริเวณหน้าค่ายลูกเสือได้มีการสร้างอนุสรณ์เป็นรูปปั้นเด็กชายที่แต่งกายคล้ายชุดลูกเสือยืนถือไม้พองอยู่และมีการระบุกำกับไว้ด้วยว่าตั้งขึ้นเมื่อปี 2517 สำหรับเหตุการณ์หลังจากนั้นเกิดขึ้นเมื่อมีโรงเรียนแห่งหนึ่งพาเด็กนักเรียนมาเข้าค่ายที่ลูกเสือแห่งนี้อีกครั้งหนึ่ง

โดยความน่ากลัวเกิดขึ้นเมื่อช่วงเวลากลางคืนเมื่อเด็กนักเรียนเริ่มจัดกิจกรรมก่อกองไฟได้มีเด็กนักเรียนหายไปจำนวน 2 คนซึ่งทุกคนก็พยายามออกตามหาจนรุ่งเช้าจึงมาพบเด็กชายทั้งสองคนนั้นอยู่กันคนละที่โดยคนนึงนั้นอยู่ฐานซึ่งขุดไว้เป็นอุโมงโดยเด็กชายมีลักษณะอยู่ในอาการหวาดกลัวอยู่ตลอดเวลาจนเด็กชายอีกคนหนึ่งนั้นไปอยู่ที่โบสถ์

โดยเด็กชายทั้งสองคนเล่ากันตรงกันว่าพวกเขานั้นเห็นเด็กชายคนหนึ่งซึ่งแต่งกายคล้ายด้วยชุดลูกเสือโดยอ้างตนว่าเป็นรุ่นพี่มาชักชวนให้ไปเล่นผูกคอตายแต่โชคดีที่มีตากับยายคู่หนึ่งมาบอกให้พวกเขานั้นไปซ่อนตัวไว้ในโบสถ์ส่วนอีกคนหนึ่งถูกนำมาซ่อมตัวไว้ที่ฐานอุโมงค์ทำให้พวกเขานั้นไม่ถูกรุ่นพี่คนดังกล่าวพาไปแต่คนที่นำไปซ่อนตัวไว้ที่โบถส์นั้นได้เล่าว่าระหว่างที่เขานั่งรออยู่ในโบสถ์จนกว่าจะถึงเช้าตามที่ตากับยายสั่งนั้น

เขาได้มองออกมาที่นอกโบสถ์ยังเห็นว่ารุ่นพี่ที่แต่งชุดลูกเสือยังคงเดินวนเวียนอยู่รอบๆโบสถ์จนถึงเช้าเลยทีเดียว ส่วนเด็กนักเรียนคนอื่นก็แล้วกันว่าในช่วงเวลาที่อยู่ในการพักค่ายลูกเสือนั้นเวลากลางคืนที่ทุกคนต่างก็นอนหลับพักผ่อนอยู่ในเต็นท์ของตนเองปรากฏว่ามีเด็กชายคนหนึ่งซึ่งพวกเขาเองไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนได้คลานเข้ามานอนในเต็นท์ของพวกเขาด้วย

โดยร่างกายของเด็กชายคนนั้นเปียกชุ่มไปด้วยน้ำซึ่งเรื่องราวนี้ได้มีการเล่าขานต่อๆกันมาสร้างความหวาดกลัวให้กับผู้คนเป็นจำนวนมากจนไม่มีใครกล้าที่จะมาเข้าค่ายลูกเสือแห่งนี้กันอีกเลยจนในที่สุดสถานที่เข้าค่ายลูกเสือแห่งนี้ก็ต้องปิดตัวลง

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย   จีคลับ ผ่านมือถือ

ตํานานวันวาเลนไทน์

         สำหรับเรื่องเล่าตำนานของวันวาเลนไทน์นั้นเป็นเรื่องเล่าตั้งแต่สมัยคริสตศักราช 300 ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวนั้นเป็นช่วงที่โลกยังคงมีการทำศึกสงครามกันอยู่เรื่องเล่าเกี่ยวกับเรื่องของวันวาเลนไทน์นั้นเกิดขึ้นที่กรุงโรมซึ่งในสมัยนั้นเป็นสมัยของพระเจ้าคลอดิอุสที่สอง ซึ่งในช่วงนั้นพระองค์กฐินกับถุงมือในการทำศึกสงครามเป็นอย่างมากมักจะเกณฑ์ไพล่พลที่เป็นผู้ชายเพื่อไปทำศึกสงคราม 

และแน่นอนว่าผู้ชายเหล่านั้นบางคนก็เป็นคนโสดและบางคนก็มีครอบครัวซึ่งคนที่มีครอบครัวอยู่แล้วก็มักจะไม่อยากจากครอบครัวของตนเองไปเพราะอยากอยู่กับคนรักทำให้ พระเจ้าคลอดิอุสที่สอง ทรงไม่พอพระทัยเป็นอย่างมากถึงขนาดต้องมีการประกาศออกมาว่านับตั้งแต่นั้นเป็นต้นไปห้ามมีการจัดการแต่งงานเกิดขึ้น

จนกว่าจะมีการทำศึกสงครามแล้วเสร็จซึ่งการประกาศเช่นนี้สร้างความเสียใจให้กับประชาชนเป็นอย่างมากโดยเฉพาะหนุ่มสาวที่เป็นคู่รักกันและหวังจะใช้ชีวิตคู่ด้วยกันอย่างไรก็ตามในช่วงเวลานั้นได้มีบาทหลวงคนหนึ่งซึ่งเขามีชื่อว่าวาเลนไทน์บาทหลวงคนนี้เมื่อได้ฟังคำประกาศของพระราชาแล้วก็เกิดรู้สึกว่าคำประกาศนี้ไม่มีความเป็นธรรมให้กับประชาชนและเขาสงสารหนุ่มสาวที่รักกันจึงได้แอบจัดงานแต่งงานให้กับหนุ่มสาวอยู่หลายคู่จนในที่สุดก็ถูก พระเจ้าคลอดิอุสที่สอง  จับได้ว่านักบวชวาเลนไทน์นั้นเป็นคนที่แอบจัดงานแต่งงานให้กับหนุ่มสาวพระองค์จึงได้สั่งให้ทหารจับคุมนักบวชวาเลนไทน์มาขังไว้ในคุก

ซึ่งในสมัยนั้นนักบวชถือได้ว่ามีความรู้ที่จะสามารถรักษาคนป่วยได้ด้วยซึ่งทางด้านผู้คุมขังที่ดูแลนักบวชวาเลนไทน์อยู่นั้นมีลูกสาวอยู่ 1 คนเธอป่วยเป็นโรคตาบอดเขาจึงได้ขอร้องให้นักบวชวาเลนไทน์นั้นช่วยรักษาอาการให้กับลูกสาวของเขาซึ่งนักบวชวาเลนไทน์สามารถรักษาอาการของหญิงสาวคนดังกล่าวจนหายขาดจากอาการตาบอดและระหว่างที่มีการรักษาอาการตาบอดกันนั้น

ก็เกิดความรักขึ้นระหว่างนักบวชวาเลนไทน์กับหญิงสาวแต่อย่างไรก็ตามในท้ายที่สุดแล้วนักบวช Valentine ก็จะต้องถูกประหารชีวิตก่อนที่เขาจะถูกประหารชีวิตนั้นเขาได้มีการส่งจดหมายไปบอกรักหญิงสาวคนดังกล่าวซึ่งในจดหมายนั้นเขาได้มีการลงชื่อไว้ตอนท้ายว่า from your Valentine

โดยข้อความในจดหมายนั้นมีการเขียนเอาไว้ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ซึ่งตรงกับวันที่นักบวชวาเลนไทน์นั้นถูกฆ่าตายทำให้นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาผู้คนต่างก็สรรเสริญนักบวชวาเลนไทน์จึงได้มีการจัดเทศกาลวันวาเลนไทน์ขึ้นโดยจะยึดเอาวันที่ 14 เดือนกุมภาพันธ์ซึ่งเป็นวันเสียชีวิตของนักบวชวาเลนไทน์รวมถึงวันที่นักบวชวาเลนไทน์ได้สารภาพรักกับหญิงสาวมาเป็นวันที่บอกรักให้กับผู้รับของตนเองในปัจจุบันนั่นเอง

 

ได้รับการสนับสนุนโดย   คาสิโนออนไลน์ได้เงินจริง

Okiku ตุ๊กตาของประเทศญี่ปุ่น

     เรื่องราวที่จะเล่าดังต่อไปนี้เป็นเรื่องราวความเชื่อตำนานของประเทศญี่ปุ่นที่มีการเล่าขานกันสืบมาซึ่งเรื่องราวนี้ยังคงมีการพูดถึงกันอยู่โดยเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นที่หมู่บ้านคุริซาว่า  ซึ่งเป็นหมู่บ้านหนึ่งในจังหวัด ฮอกไกโดหลายคนอาจจะไม่เชื่อเกี่ยวกับเรื่องของตำนานนี้แต่ว่าถ้าหากคุณไม่เชื่อคุณสามารถเดินทางไปที่หมู่บ้านแห่งนี้และไปชมตุ๊กตาตัวนี้ได้เพราะปัจจุบันนั้นตุ๊กตาตัวนี้ยังคงมีอยู่

      สำหรับเรื่องเล่าเกี่ยวกับเรื่องตุ๊กตา Okiku นั้นว่ากันว่าตุ๊กตาตัวนี้เป็นของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ชื่อว่า Okiku ซึ่งเด็กสาวรักตุ๊กตาตัวนี้ของเธอมากเลยทีเดียวอย่างไรก็ตาม Okikuมีชีวิตอยู่ได้ไม่นานเธอก็เสียชีวิตลงเนื่องจากว่าเธอนั้นได้ล้มป่วยโดยตอนที่เธอเสียชีวิตนั้นเธอมีอายุแค่เพียง 3 ขวบเท่านั้นหลังจากที่พ่อกับแม่ของเธอได้ทำพิธีฝังศพให้กับเธอเป็นที่เรียบร้อยแล้วพวกเขาได้นำตุ๊กตาตัวนี้ไปวางไว้ที่หลุมฝังศพของเธอด้วย

เนื่องจากว่าพ่อกับแม่ของเธอนั้นรู้ดีว่าเธอรักตุ๊กตาตัวนี้ของเธอมากแค่ไหนนั่นเอง โดยพวกเขาหวังว่าตุ๊กตาตัวดังกล่าวจะคอยอยู่เป็นเพื่อนเล่นให้กับวิญญาณของลูกสาวของพวกเขาแต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่น่ากลัวเกิดขึ้นและเป็นสิ่งที่อัศจรรย์ใจจนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครสามารถให้คำตอบได้ว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นได้อย่างไรเมื่อตุ๊กตาตัวดังกล่าวที่ถูกวางไว้ตรงบริเวณหลุมศพของเด็กหญิงOkiku นั้น

จะมีผมยาวขึ้นเรื่อยๆด้วยการยาวของเส้นผมนั้นเป็นการยาวแบบธรรมชาติเหมือนเส้นผมของคนเราไม่ได้ยาวเร็วผิดปกติแต่อย่างไรซึ่งหลายคนก็สงสัยกันว่าสาเหตุใดตุ๊กตาที่ไม่มีชีวิตจิตใจจึงมีเส้นผมที่สามารถยาวออกเรื่อยๆได้เหมือนกับเส้นผมของคนปัจจุบันตุ๊กตาตัวนี้ยังคงมีอยู่โดยถูกวางทิ้งไว้อยู่ที่วัดมันเนน  ซึ่งวัดแห่งนี้จะอยู่ที่จังหวัดฮอกไกโดโดยอยู่ที่อำเภอจิและแน่นอนว่าถ้าหากคุณอยากจะไปทำพิสูจน์ว่าตุ๊กตาตัวนี้มีผมยาวจริงหรือไม่คุณสามารถไปท้าพิสูจน์ได้ที่หมู่บ้านคุริซาว่า 

    สำหรับเรื่องเล่าตำนานความเชื่อนี้ยังเป็นสิ่งลึกลับที่ใครก็ยังไม่สามารถหาคำตอบให้ได้ ยังไงก็แล้วแต่ตำนานเกี่ยวกับเรื่องของตุ๊กตาผมยาวนี้ปัจจุบันไม่ค่อยมีการพูดถึงกันมากนักและยังไม่มีใครบอกได้ว่าปัจจุบันตุ๊กตาตัวดังกล่าวยังคงผมยาวอยู่หรือไม่ซึ่งถ้าหากใครอยากจะไปพิสูจน์ด้วยตนเองก็สามารถเดินทางไปได้ เผื่อจะได้รู้คำตอบว่าผมที่ยาวขึ้นมานั้น เกิดขึ้นมาจากอะไรนั่นเอง

 

สนับสนุนโดย  UFABET เว็บหลัก

เด็กหญิงวัย 9 ขวบถูกเตะสลบคาที่

เด็กหญิงวัย 9 ขวบถูกเตะสลบคาที่สาเหตุเพราะไปปาก้อนหินใส่หัวเด็กอีกคนหัวแตก

                        ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานีมีเหตุการณ์ที่น่าตกใจเกิดขึ้นเมื่อมีผู้ชายอายุประมาณ 29 ปีซึ่งเป็นวัยที่กำลังมีร่างกายที่แข็งแรงได้มีการเตะไปที่ใบหน้าของเด็กหญิงคนหนึ่งอายุประมาณ 9 ปี ซึ่งเด็กหญิงคนดังกล่าวถูกแต่ไปที่ใบหน้า 1 ครั้งถึงจะสลบทันทีแล้วเมื่อพาส่งโรงพยาบาลก็พบว่าเด็กหญิงมีอาการหน้าบวม  ฟันร้าว  กรามโยก  ซึ่งอาการของเด็กนั้นสลบตั้งแต่ตอนที่ถูกเตะครั้งแรกหลังจากที่มีการเรียกรถพยาบาลมารับตัวไปส่งโรงพยาบาลเด็กก็ยังไม่ฟื้นไปฟื้นอีกครั้งหนึ่งเมื่อถึงโรงพยาบาลแล้ว ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนี้ได้มีการนำเรื่องราวดังกล่าวมาโพสต์ลง Facebook

ตอนนี้การถ่ายรูปของเด็กอายุ 9 ขวบขณะที่นอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลซึ่งตอนนั้นเด็กยังอยู่ในอาการสงบอยู่โดยหลายคนก็พากันสงสัยว่าเหตุใดชายอายุ 29 ปีคนดังกล่าวถึงได้ทำรุนแรงกับเด็กหญิงอายุเพียงแค่ 9 ขวบอย่างนี้ ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 1 เดือนเมษายน ปี พ.ศ.2563  ซึ่งทางนักข่าวได้ลงติดตามผลโดยเดินทางไปที่บ้านของเด็กหญิงอายุ 9 ขวบ

ซึ่งในขณะนี้เด็กหญิง 9 ขวบได้กลับมาพักรักษาตัวอยู่ที่บ้านเรียบร้อยแล้วแต่เด็กยังมีอาการหวาดผวาอยู่เจอนักข่าวได้คุยกับพ่อของเด็กแล้วคุณพ่อของทางเด็กได้ให้ข้อมูลว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อช่วงเย็นของวันที่ 1 เดือนเมษายน ซึ่งตอนนั้นลูกสาวของตนเองกำลังเล่นอยู่กับเพื่อนๆประมาณ 10 คนเลยพากันเล่นอยู่แถวสนามฟุตบอลของหมู่บ้านที่อยู่ข้างๆโรงเรียน ซึ่งลูกสาวได้เล่าให้ฟังว่าตอนแรกก็เล่นกันอยู่ดีๆแล้วก็เกิดมีเรื่องโต้เถียงกันจึงทำให้เด็กทั้ง 10 คนแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลังจากที่ทะเลาะกันก็ได้มีการนำก้อนหินมาขว้างปาใส่กัน

ทีนี้เด็กหญิงอายุ 9 ขวบก็หยิบก้อนหินขว้างไปที่ฝั่งตรงข้ามเหมือนกันแต่ก็เห็นไปโดนเด็กผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งอายุแค่เพียง 7 ขวบเท่านั้นเลยก้อนหินไปโดนที่ศรีษะทำให้เลือดไหลเด็กที่อยู่ในเหตุการณ์จึงได้พากันวิ่งไปฟ้องพ่อของเด็กอายุ 7 ขวบเป็นข้อของเด็กคนดังกล่าวกำลังเตะฟุตบอลอยู่ใกล้ๆกันนั้นเองเมื่อชายอายุ 29 ปีเดินทางมาถึงเห็นลูกสาวตนเอง

หัวแตกก็ถามถึงคนที่ทำร้ายลูกเพราะเด็กๆพากันชี้ตัวเด็กหญิงอายุ 9 ขวบชายคนที่อายุ 29 ปีก็เตะเข้าไปที่ใบหน้าของเด็กทันที 1 ครั้งทำให้เด็กสลบ และคนที่เตะบอลอยู่กับชายวัย 29 ปีพาตัวเด็กส่งโรงพยาบาลและก็มีคนไปแจ้งครอบครัวของเด็กอายุ 9 ขวบทำให้คนเป็นแม่รีบๆมาดูส่วนคนเป็นพ่อนั้นก็ไปแจ้งความที่สถานีตำรวจให้เอาเรื่องชายอายุ 29 ปีให้ถึงที่สุดพี่ทำร้ายเด็กจนถึงกับสลบเจอคนเป็นแม่เองก็ได้บอกผู้สื่อข่าวว่ารู้สึกเสียใจมาก

ที่ไม่เห็นสภาพรูปแบบนั้นตอนแรกคิดว่าลูกอาจจะไม่รอดแล้วแต่ยังโชคดีที่เมื่อมาถึงโรงพยาบาลแล้วลูกฟื้นขึ้นมา ซึ่งครอบครัวของเด็กอายุ 9 ขวบรู้สึกโกรธคนทีทำมากเพราะครอบครัวทั้งสองฝั่งก็รู้จักกัน แต่ไม่น่าจะทำกับเด็กหนักขนาดนี้ 

 

 

สนับสนุนโดย   จีคลับ มือถือ

ตำนานผีช้ำรัก คาร์ล พรุอิทท์

           มีตำนานเรื่องเล่าของผู้ชายคนหนึ่ง  เขาชื่อว่า  คาร์ล พรุอิทท์ เรื่องเล่าเกี่ยวกับชีวิตของคาร์ล พรุอิทท์ ได้มีการพูดถึงความรักของเขาและภรรยาโดยเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อปีคริสต์ศักราช 1938 โดยมีอยู่วันหนึ่ง คาร์ล พรุอิทท์ ที่เดินทางออกไปทำธุระนอกบ้านได้เดินทางกลับมาถึงบ้านโดยที่ภรรยาของเขาไม่รู้ตัวมาก่อนเมื่อเขามาถึงที่บ้านก็พบว่าภรรยาของเขากำลังนอกใจและอยู่กับชายชู้คนหนึ่งด้วยความโมโห คาร์ล พรุอิทท์

จึงได้เดินไปหยิบโซ่ขนาดใหญ่มาแล้วรัดคอภรรยาของเขาส่วนชายชุดนั้นก็ได้วิ่งหนีหายไป และเมื่อ อารมณ์โมโหได้ผ่อนคลายลงเขาก็พบว่าเขาได้ฆ่าภรรยาของเขาเสียชีวิตไปเสียแล้วและด้วยความรู้สึกผิดที่ตนเองได้ก่อขึ้นเขาจึงได้ฆ่าตัวตายตามภรรยาของเขาไป

หลังจากที่เขาฆ่าตัวตายชาวบ้านก็พากันนำร่างของเขาและภรรยาไปฝังแต่บังเอิญว่าชาวบ้านได้ฝังคาร์ล พรุอิทท์ และ ภรรยาของเขาคนละสุสานซึ่งชาวบ้านต่างก็บอกกันว่าหากอยากรู้ว่าหลุมฝังศพของคาร์ล พรุอิทท์ เป็นหลุมไหนให้สังเกตที่หลุมฝังศพให้ดีเพราะจะมีโซ่ผูกติดเอาไว้ด้วย ตำนานเล่าถึงที่มาของโซ่เส้นดังกล่าวว่าหลังจากที่คาร์ล พรุอิทท์ เสียชีวิตและถูกฝังเอาไว้แล้วมีคนต้องตายจากวิญญาณของคาร์ล พรุอิทท์

โดยพวกเขาเชื่อว่าวิญญาณของคาร์ล พรุอิทท์ เป็นวิญญาณร้ายโดยมีเรื่องเล่าว่ามีเด็กชายคนหนึ่งได้ขี่จักรยานผ่านมาบริเวณสุสานและเด็กชายคนดังกล่าวได้เอาก้อนหินปาไปที่หลุมฝังศพของคาร์ล พรุอิทท์ หลังจากนั้นรถจักรยานที่เด็กชายขี่อยู่ก็เกิดควบคุมไม่ได้สุดท้ายรถก็ล้มและที่น่าแปลกก็คือโซ่ที่คล้องตรงล้อจักรยานหลุดออกมาและมันไปพันคอเด็กชายจนถึงแก่ความตาย 2 สัปดาห์ต่อมาแม่ของเด็กชายได้นำขวานมาที่หลุมฝังศพของคาร์ล พรุอิทท์

และเธอได้พังสุสานของคาร์ล พรุอิทท์ จน ฟังเสียหายหลังจากนั้นเธอก็กลับมาบ้านและมาตากผ้าแต่อยู่ดีๆเชื่อเราตากผ้าของเธอก็หลุดและมาพันที่คอของเธอจนเธอนั้นเสียชีวิต ซึ่งเชือกราวตากผ้าที่พันคอหญิงสาวคนดังกล่าวนั้นมีลักษณะเป็นโซ่ คล้ายกับโซ่ของหลุมฝังศพของ คาร์ล พรุอิทท์ และเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเดินทางไปตรวจสอบหลุมฝังศพของคาร์ล พรุอิทท์ พวกเขากลับไม่พบว่าหลุมฝังศพนั้นเกิดความเสียหายจากการถูกทำลายเลยเพราะหลุมฝังศพของคาร์ล พรุอิทท์ ยังคงอยู่ปกติเหมือนเดิม หลังจากนั้นชาวบ้านก็ช่วยกันทำพิธีล้างป่าช้าขุดเอาศพไปทำพิธีทางศาสนาหมด

ยกเว้นหลุมฝังศพของคาร์ล พรุอิทท์ ที่ชาวบ้านไม่ได้ไปยุ่งนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาที่ดินคืนนั้นก็ถูกปล่อยให้รกร้างว่างเปล่าและมีเพียงหลุมฝังศพของคาร์ล พรุอิทท์ ที่อยู่ที่นั้นอยู่กลุ่มเดียวจนในปี 1950 ก็ได้มีการพัฒนาที่ดินตรงบริเวณนั้นโดยมีการขุดถมที่ดินใหม่และสุสานของคาร์ล พรุอิทท์ก็ถูกขุดออกไปทำร้ายด้วยเช่นเดียวกันแต่เหตุการณ์ครั้งนั้นไม่ได้มีเหตุการณ์อะไรร้ายแรงเกิดขึ้นซึ่งชาวบ้านเชื่อกันว่าน่าจะเป็นไปได้ว่าวิญญาณของคาร์ล พรุอิทท์ ได้ไปเกิดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

ได้รับการสนับสนุนโดย  gclub casino online มือถือ

ศิลปะร่วมสมัย

งานศิลปะมีรูปร่างที่แตกต่างกันออกไปอย่างไรก็ตามในยุคปัจจุบันต้องยอมรับว่ารูปแบบในการทำงานศิลปะมีความหลากหลายมากโดยเฉพาะในประเทศไทย การทำงานศิลปะทั้งสิ้นอย่างไรก็ตามที่เป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่การพัฒนารูปแบบงานหรือว่าสุนทรียภาพแห่งการทำงานในยุคปัจจุบันมีการเปิดกว้างที่เพิ่มมากขึ้น

มันสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีหรือแม้แต่จะเป็นการสร้างรูปแบบในการทำงานโดยการผ่านอารมณ์ทั้งสิ้น การเปลี่ยนแปลงทางสังคมหรือผู้คนต่างๆในยุคปัจจุบันผู้คนมีความต้องการในการเข้าถึงเทคโนโลยีต่างๆที่เพิ่มมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นระบบอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆหรือแม้แต่อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ในส่วนของ Social Media ก็มีการพัฒนาขึ้นเยอะ ที่ทำให้ในยุคปัจจุบันรูปแบบงานต่างๆมีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลาผู้คนมีการรับรู้เกี่ยวกับแนวคิดหรือแม้แต่จะเป็นในส่วนของสื่อต่างๆ

ก็มีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลาอย่างไรก็ตามที่เป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งในยุคปัจจุบันผลงานต่างๆผู้คนสามารถเข้าถึงได้ง่ายมากยิ่งขึ้น โดยศิลปินหน้าต่างสามารถสร้างช่องทางตัวเองในการเผยแพร่งานไม่ว่าจะเป็น Social Media หรือแม้แต่จะเป็นอินเทอร์เน็ตในยุคปัจจุบันก็มีการพัฒนาที่ยั่งยืน ระบบ Social Media คือหนึ่งสิ่งที่ทำให้สิ่งต่างๆในการเผยแพร่งานตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Instagram Facebook Twitter แต่ตอนนี้เป็นส่วนหนึ่งที่เป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่ทำให้ศิลปินเหมือนกันเผยแพร่แนวคิดของตัวเองได้

อย่างไรก็ตามโดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่มีงานศิลปะร่วมสมัยครั้งมากไม่ว่าจะเป็นการทำงานร่วมกับผู้อื่นในประเทศอื่นๆหรือทวีป หรือแม้แต่จะเป็นลักษณะของงานที่แตกต่างกันออกไปเพราะที่อยู่ปัจจุบันเราไม่สามารถกำหนดได้ว่างานศิลปะคือสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ศิลปะคือทุกสิ่งหลักหลายแขนง ไม่ว่าจะเป็นแนวเพลง ภาพวาดงานประติมากรรมหน้าต่างส่วนใหญ่ก็เป็นงานศิลปะท้องถิ่นอย่างไร

เปลี่ยนแปลงทางด้านจิตรกรรมหรือแม้จะเป็นประติมากรรมเขียนหน้าต่างในยุคปัจจุบันก็มีแคลอรี่หรือแม้แต่จะเป็นในส่วนของหอศิลปะเพื่อรองรับต่อการจัดแสดง ในยุคปัจจุบันจึงทำให้ผู้คนต่างๆมีการผลิตงานมากมายไม่ว่าจะเป็นศิลปินในยุคดั้งเดิมหรือแม้แต่จะเป็นศิลปินหน้าใหม่ยุคปัจจุบันที่มีจำนวนที่เพิ่มมากยิ่งขึ้น

การเปลี่ยนแปลงทางด้านผลงานหรือการให้หน่วยงานต่างๆในปัจจุบันก็มีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา

บุคคลมีความต้องการในการเรียนรู้รูปแบบงานใหม่ๆอย่างไรก็ตามที่จะเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งในยุคปัจจุบันการเปลี่ยนแปลงการติดต่อสื่อสารหรือการพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆทำให้มีการพัฒนางานศิลปะที่เพิ่มไหม ร่วมสมัยเป็นการแสดงออกทางความคิดยกตัวอย่างเช่นความคิดทางการเมืองที่มีอยู่ปัจจุบัน มีความร้อนระอุ มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในยุคปัจจุบันเราจึงเห็นงานที่เกี่ยวเนื่องกับงานทางการเมืองไม่ว่าจะเป็นการแสดงออกทางความคิด

หรือแม้จะเป็นอุดมการณ์ต่างๆในยุคปัจจุบันก็สามารถมองหาสิ่งต่างๆเหล่านี้ได้ง่ายมากยิ่งขึ้นในงานศิลปะต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นผลงานเพลงหรือแม้จะเป็นภาพเขียนต่างๆในยุคปัจจุบัน 

 

 

ได้รับการสนับสนุนโดย    gclub ทดลองเล่นฟรี

ยุคโรมันและการใช้ศิลปะในการพัฒนาบุคคล

แต่ละยุคและสมัยต่างๆก็มีการเปลี่ยนแปลงอันนั้นความเชื่อและความคิดเห็นเช่นเดียวกันอีกหนึ่งยุคที่มีความร่วมมือหรือมีความเฟื่องฟูทางด้านวัฒนธรรมและงานไฟฟ้าเป็นอย่างมากนั่นคือโรมัน รวมกันเป็นยุคที่มีการพัฒนาทางด้านความคิดของพวกคุณเป็นอย่างมากผู้คนมีการคิดเกี่ยวกับสุนทรียภาพแห่งการใช้ชีวิตไม่ว่าจะเป็นในส่วนของ สถาปัตยกรรมหรืองานสร้างต่างๆก็ถูกผลิตขึ้นในงานของยุคโรมันเป็นอย่างมาก

อย่างไรก็ตามความเชื่อหรือแนวคิดต่างๆได้ถูกถ่ายทอดมาจากกรีก ซึ่งทุกคนต่างๆมีการรวมอำนาจค่อนข้างเยอะในโดยเฉพาะในยุคโรมันที่มีการพัฒนาทางด้านงานศิลปะให้และให้ความสำคัญเกี่ยวกับการพัฒนางานต่างๆเป็นอย่างมาก การเจริญอำนาจหรือการสร้างอำนาจชาวจีนมีความเชื่อว่าสุนทรียภาพสามารถแสดงออกได้ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่นี่จึงทำให้สาเหตุของเขาไม่ได้สนใจเกี่ยวกับความเชื่อหลังความตายเป็นอย่างมาก

ยุคต่างๆที่มีอิทธิพลต่อชาวโรมันอินเทอร์เน็ตยุคแรกคือ ยุคที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของชาวกรีก ชาวกรีกเป็นยุคที่มีความเจริญรุ่งเรืองทางด้านวัฒนธรรมเป็นอย่างมากนี่จึงทำให้ศิลปะต่างๆของยุคกรีกมีการส่งต่อมาสู่ยุคโรมันเป็นอย่างมากปฏิมากรรมของชาวโรมัน ได้ถูกพัฒนามาจากในยุคของชาวกรีกซึ่งมีวิวัฒนาการของงานเป็นอย่างมาก 

ชาวโรมันเป็นชาวที่มีประติมากรรมที่มีความเหมือนจริงและรูปทรงต่างๆที่มีการพัฒนาตลอดเวลาการนำเสนอเรื่องราวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความเชื่อประติมากรรมต่างๆหรือแม้จะเป็นการทำหุ่นหน้ากากขี้ผึ้งที่แสดงถึงความจงรักภักดีและการเคารพบูชาแก่บรรพบุรุษ ซึ่งจะมีการประดิษฐ์ให้เหมือนหน้าจริงมากที่สุดในจึงทำให้ความนิยมของประติมากรรมที่มีรูปร่างคล้ายคนจริงหรือแม้แต่จะเป็นการพิมพ์ภาพแบบนูนสูงได้รับความนิยมอย่างมากในการพัฒนาในส่วนของโรมันต่างๆเหล่านี้

ไม่ใช่เพียงแต่ปฏิมากรรมปั้น แต่มีสถาปัตยกรรมมากมายซึ่งในยุคปัจจุบันเราก็ได้เห็นผลงานสถาปัตยกรรมมากมายในการพิมพ์รูปทรงต่างๆไม่ว่าจะเป็นเสาโรมันที่ในยุคปัจจุบันก็มีการใช้กันอยู่ รวมถึงจะมีกำแพงตามสถานที่ต่างๆที่ถูกบันทึกเรื่องราวต่างๆหรือความเชื่อต่างๆตอนที่มีความเกี่ยวเนื่องกับจักรวรรดิข้าราชบริพารซึ่งมีความเหมือนจริงและลักษณะใบหน้าก็มีการคล้ายคลึงกับของจริงมากที่สุด

อย่างไรก็ตามยุคสมัยโรมันเป็นยุคที่มีงานศิลปะที่พัฒนาคนไข้เยอะไม่ว่าจะเป็นผู้คนหน้าตาหรือแม้จะเป็นการเข้าถึงความรู้ความเชื่อต่างๆก็มีการพัฒนาที่รักข้างเดียวเพราะยุคนี้เป็นยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงของงานศิลปะที่นำความเชื่อและการพัฒนาการทำงานต่างๆเหล่านี้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาผู้คนสุสานหน้าต่างการฝังศพ

รวมถึงอนุสาวรีย์ต่างๆก็ถูกผลิตในยุคนี้เป็นจำนวนมากจนมาถึงยุคหลังที่ผู้คนและการมีการศึกษาเกี่ยวกับงานศิลปะในยุคโรมันซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา 

 

ขอบคุณ ทดลองเล่นบาคาร่า  ที่ให้การสนับสนุน

ทฤษฎีสี

ศิลปะคือสิ่งที่กล่อมเกลาจิตใจมนุษย์มาช้านาน คนใช้งานเสร็จภายในการบันทึกเรื่องราวต่างๆหรือแม้แต่จะเป็น ประวัติศาสตร์ต่างๆก็ถูกบันทึกผ่านงานศิลปะ นึกว่าจะเป็นงานศิลปะกำแพงหรือแม้แต่จะเป็นในส่วนของยุคดึกดำบรรพ์ผู้คนก็มีการใช้ศิลปะในการแสดงอารมณ์หรือระบายอารมณ์ร่วมถึงเป็นการจดบันทึกเรื่องราวต่างๆยกตัวอย่างเช่น ผู้คนในยุคถ้ำหรือมนุษย์ยุคถ้ำนั้นก็จะเป็นการบันทึกงานศิลปะ

โดยใช้เลือดและกระดูกของสัตว์ที่ล่าสัตว์นั้นมา เขียนลงบนกำแพงหรือที่อยู่อาศัยไม่ว่าจะเป็นโขดหินต่างๆหรือแม้แต่จะเป็นในส่วนของกำแพงต่างๆของถ้ำ เพื่อบันทึกว่าละแวกแถวนั้นมีอะไรบ้างน้ำตรงไหนบ้างจดบันทึกแผนที่หรือแม้แต่จะเป็นการวาดงานศิลปะเช่นสัตว์ อธิบายว่าในส่วนของละแวกถ้ำนั้นๆมีสัตว์ชนิดใดบ้างและสามารถล่าสิ่งใดบ้างที่ถูกใช้งานมาเป็นระยะเวลานาน

การใช้สีมีการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆยกตัวอย่างเช่นในส่วนของก่อนหน้านี้ ในตั้งแต่ยุคถ้ำก็มีการใช้สีต่างๆในการจดบันทึกไม่ว่าจะเป็นสีของดิน สีของเลือด หรือแม้แต่จะเป็นการขูดขีดนำฝาผนังโดยใช้หิน รวมทั้งกระดูกสัตว์ ซึ่งบรรพบุรุษของมนุษย์ต่างๆนี้มีการใช้สีต่างๆเพื่อแสดงถึงความน่าหวาดกลัว ธรรมชาติ ความน่าตื่นเต้น และการเกิดเหตุต่างๆไม่ว่าจะเป็นพายุหรือแม้แต่จะเป็นน้ำท่วม

ในยุคปัจจุบันการพัฒนาสีต่างๆที่ถูกเปลี่ยนแปลง หรือถูกพัฒนาตลอดเวลาเพราะมนุษย์นั้นมีความเชื่อว่า พระเจ้าคือสิ่งที่ประธานทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นอาหาร น้ำ ที่อยู่อาศัย บางคนจึงใช้สีต่างๆหรือว่าเลือกต่างๆในการจดบันทึกหรือในการบูชาพระเจ้าในสิ่งต่างๆนี่เองจึงเป็นส่วนสำคัญที่ในยุคปัจจุบันรูปร่างลักษณะหรือภาวะต่างๆที่แสดงให้เห็นถึง ความเชื่อ ที่อยู่อาศัย

หรือแม้แต่จะเป็นลักษณะในการใช้ชีวิตไม่ว่าจะเป็นการปั้นแกะสลักหรือแม้แต่จะเป็นการวาดภาพบนฝาผนังก็มีมาอย่างช้านาน ซึ่งมนุษย์ยุคถ้ำต่างๆเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงพลังอำนาจหรือแม้แต่จะเป็นในส่วนของการใช้สีที่มีตามอยู่ธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นสีน้ำตาลของดิน สีเขียวที่แสดงถึงต้นไม้ สีเทาที่มาจากหิน หรือแม้แต่จะเป็นสีแดงที่มาจากเลือด สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่ามนุษย์มีการพัฒนาลักษณะของการใช้สีอยู่ตลอดเวลา เนื้อสัตว์ถูกนำไปใช้ในส่วนต่างๆไม่ว่าจะเป็นการทานหรือแม้จะเป็นกันใช้ชีวิต

ซึ่งการใช้สีของผู้คนนี้มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาโดยเฉพาะในยุคปัจจุบันก็มีการใช้สีในการทำงานศิลปะมากมาย สีได้ถูกพัฒนาให้มีหลากหลายมากยิ่งขึ้นให้แสดงให้เห็นถึงการใช้งานต่างๆอย่างไรก็ตามนี้จะเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่ผู้คนในยุคปัจจุบันหรือแม้จะเป็นยุคเริ่มต้นของงานศิลปะได้มีการใช้ศิลปะภาพวาดหรือแม้จะเป็นการแสดงสี ที่แสดงให้เห็นถึงการล่าสัตว์

การใช้ชีวิต เมื่อจดบันทึกเรื่องราวต่างๆเพราะว่าในส่วนของท่านนั้นๆหากมีการย้ายที่ กลุ่มคนที่ย้ายเข้ามาอยู่ก็จะรู้ว่าในบริเวณนี้สามารถล่าสัตว์ชนิดใดได้บ้างหรือว่ามีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นบ้าง เพื่อการระวังตัวหรือแม้จะเป็นในส่วนของการถ่ายทอดเรื่องราวต่างๆลงบนฝาผนังซึ่งในปัจจุบันก็มีการใช้งานอยู่ตลอดเวลาเพื่อแสดงให้เห็นในการค้นหาว่าในอดีตผู้คนมีการใช้ชีวิตอย่างไร 

 

 

สนับสนุนโดย   จีคลับคาสิโนออนไลน์