ตํานาน เกาะหนูเกาะแมวและ หาดทรายแก้ว

ตํานาน เกาะหนูเกาะแมว และหาดทรายแก้วนั้นเป็นตำนานที่โด่งดังมากในจังหวัดสงขลาเนื่องจากว่าที่จังหวัดแห่งนี้นั้นมีเกาะที่อยู่กลางทะเลที่ชื่อว่าเกาะหนูเกาะแมวและยังมีชื่อชายหาดที่ชื่อว่าหาดทรายแก้วอยู่ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของจังหวัดสงขลาในปัจจุบันนี้เอง

           โดยตำนานมีการพูดถึงตั้งแต่สมัยประเทศจีนมาค้าขายในประเทศไทยในยุคแรกๆโดยระบุว่ามีพ่อค้าชาวจีนคนหนึ่งได้มีการขนสินค้ามาทางเรือสำเภาล่องมาตามทะเลเพื่อนำสินค้านั้นมาขายให้กับคนไทยโดยมาขายสินค้าที่จังหวัดสงขลาซึ่งในสมัยโบราณนั้นยังเป็นการเรียกเพียงแค่ชื่อว่าเมืองสงขลาเพียงเท่านั้นเองและเมื่อพ่อค้าชาวจีนขายสินค้าหมดเรียบร้อยแล้วแต่ยังเหลือเวลาก่อนที่จะกลับเมืองจีนเขาจึงได้มีการลงมาเดินเล่นที่ตลาดขายของในเมืองสงขลา

              ระหว่างที่กำลังเลือกเดินซื้อของอยู่นั้นปรากฏว่าเขาเห็นว่ามีพ่อค้าคนหนึ่งนำแมวและหมามาใส่กรงขายเอาไว้ซึ่งหน้าตาของแมวและหมาคู่นั้นดูแล้วน่าตาน่ารักมากเขาจึงซื้อหมาและแมวคู่นั้นกับไปเพื่อที่จะเอาไปให้คนที่เมืองจีนนั่นเองหลังจากนั้นเขาก็ได้มีการล่องเรือสำเภาออกท้องทะเลเพื่อที่จะกลับไปเมืองจีนระหว่างที่ร้องเรืออยู่นั้นปรากฏว่าทั้งหมาและแมวได้ยินลูกเรือพูดถึงแก้ววิเศษ

             ซึ่งเป็นลูกแก้วของพ่อค้าชาวจีนโดยความวิเศษของมันนั่นก็คือหากใครที่ถือแก้ววิเศษนี้แล้วจะไม่จมน้ำทำให้หมาและแมวซึ่งอยู่บนเรือสำเภามานานแล้วเกิดความรู้สึกเบื่อหน่ายไม่อยากที่จะเดินทางไปเมืองจีนต้องการที่จะไปขโมยลูกแก้ววิเศษดังกล่าวเพื่อที่จะได้ว่ายน้ำกลับไปยังเมืองสงขลาได้ดังนั้นพวกมันจึงพากันวางแผนที่จะขโมยลูกแก้ววิเศษนั้นเอง 

        ทางด้านแมวก็เสนอให้หนูเป็นผู้ไปขโมย  ดังนั้นหลังจากที่หนูขโมยลูกแก้ววิเศษมาให้ได้แล้วมันจึงนำลูกแก้ววิเศษนั้นมาให้หมากับแมว โดยแมวได้อนุญาตให้หนูตามขึ้นฝั่งไปด้วยซึ่งหนูเป็นตัวที่อมลูกแก้ววิเศษเอาไว้โดยมีหมาและแมวกับร่างกายของหนูเพื่อไม่ให้จมน้ำทะเลแต่ระหว่างที่อยู่กลางทะเลนั้นเองหนูก็คิดขึ้นมาได้ว่าถ้าหากว่ามันขึ้นฝั่งได้แล้วแมวอาจจะฆ่ามันตายก็ได้ดังนั้นมันจึงคิดกันหนีขึ้นฝั่งเพียงลำพังโดยจะปล่อยให้แมวและหมาจมน้ำทะเลตาย

           ในขณะเดียวกันทางด้านแมวก็อยากจะเป็นผู้ครอบครองแก้ววิเศษแต่เพียงผู้เดียว และแล้วเรื่องราวก็เกิดขึ้นเมื่อแมวพยายามที่จะแย่งแก้ววิเศษจากปากหนูทำให้แก้ววิเศษนั้นร่วงออกจากปากของหนูตกลงในท้องทะเลส่งผลทำให้หนูกับแมวและหมาจมน้ำตายในที่สุดซึ่งซากศพของแมวและหนูกลายมาเป็นเกาะหนูเกาะแมวในปัจจุบันนั้นเอง 

           ในขณะที่หมานั้นมันสามารถว่ายน้ำได้มาถึงฝั่งแต่ว่ามันก็ตายเมื่อมันมาถึงฝั่งทันทีทำให้ตรงบริเวณอ่าวสงขลานั้นถูกเรียกว่าเขาตังกวนและลูกแก้วที่ตกลงไปในท้องทะเลนั้นก็ถูกขึ้นของท้องทะเลซัดจนแก้วแตกกระจัดกระจายกลายเป็นเม็ดทรายและถูกน้ำทะเลซัดขึ้นมาเลยบนชายหาดทำให้สถานที่ดังกล่าวนั้นถูกเรียกว่าหาดทรายแก้วนั้นเอง 

 

สนับสนุนโดย.   Ufabet เข้าสู่ระบบ

พระราชวังบักกิงแฮม ณ กรุงลอนดอนประเทศอังกฤษ

หากนักท่องเที่ยวเดินทางไปเที่ยวที่ประเทศอังกฤษสถานที่ท่องเที่ยว  พระราชวังบักกิงแฮม   แห่งแรกที่เชื่อว่านักท่องเที่ยวหลายคนคงอยากไปเห็นด้วยตาตนเองและไปถ่ายรูปกับวิวสวยๆของสถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้นั่นก็คือพระราชวังบัคกิ้งแฮมนั่นเองเพราะที่นี่เรียกได้ว่าเต็มสถานที่เช็คอินแห่งหนึ่งของประเทศอังกฤษเลยทีเดียวซึ่งที่นี่นั้นเป็นพระราชวังที่ถูกสร้างขึ้นมาอายุหลายร้อยปีแล้วโดยความตั้งใจในการก่อสร้างพระราชวังแห่งนี้นั้นต้องการให้ใช้เป็นที่ประทับของดยุค backing แฮมในสมัยที่มีการปกครองอยู่ในช่วงเวลานั้น

 

     อย่างไรก็ตามปัจจุบันนี้ยังคงมีกษัตริย์ของประเทศอังกฤษประทับอยู่ที่พระราชวังบักกิงแฮมแห่งนี้ซึ่งล่าสุดที่มีการประทับอยู่ที่พระราชวังแห่งนี้ก็คือสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 และพระสวามีของพระองค์รวมถึงญาติคนอื่นๆในครอบครัวของพระองค์นั้นเองอย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าพระราชวังบัคกิ้งแฮมแห่งนี้จะเป็นที่ประทับของเหล่าบรรดากษัตริย์ของราชวงศ์อังกฤษแต่ก็ยังมีการแบ่งส่วนหนึ่งให้นักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปชมความงดงามได้เนื่องจากพระราชวังบัคกิ้งแฮมนั้นมีการก่อสร้างด้วยสถาปัตยกรรมที่งดงามและยิ่งใหญ่อลังการห้องหับต่างๆมีมากมายเต็มไปหมด

       ซึ่งพระราชวังแห่งนี้นับจำนวนห้องได้มีถึง 19 ห้องด้วยกันและแต่ละห้องนั้นก็มีการนำเครื่องตกแต่งมาประดับไว้อย่างหรูหราพื้นที่บริเวณโดยรอบของพระราชวังบัคกิ้งแฮมนั้นจะมีการตกแต่งสวนเอาไว้อย่างสวยงามมีการก่อสร้างรูปปั้นนำมาตกแต่งเอาไว้นอกจากนี้ตรงบริเวณสนามหญ้านั้นก็มีการนำดอกไม้มาปลูกสีสันสวยงามตัดกันน่าดูชมเลยทีเดียวในช่วงเวลากลางคืนพระราชวังแห่งนี้จะสว่างไสวไปด้วยไฟ

      ซึ่งมีการติดตั้งเอาไว้บริเวณรอบๆพระราชวังทำให้ไม่ว่าจะมาเที่ยวในช่วงเวลากลางวันหรือกลางคืนนั้นแทบจะแยกไม่ออกเลยทีเดียวสำหรับที่นี่มีการนำดอกไม้มากกว่า 300 สายพันธุ์นำมาปลูกตกแต่งเพิ่มพื้นที่บริเวณรอบๆของพระราชวังเมื่อนักท่องเที่ยวเดินทางมาถึงเพียงแค่ถ่ายรูปกับซุ้มดอกไม้สวยๆเหล่านี้ก็คุ้มเกินคุ้มแล้วนั่นเอง 

        อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าพระราชวังบัคกิ้งแฮมจะยิ่งใหญ่มีพื้นที่ค่อนข้างเยอะ พระราชวังบักกิงแฮม แต่ว่าก็จะมีการจัดโซนเอาไว้ให้นักท่องเที่ยวเที่ยวได้ชมความงดงามได้เฉพาะบางส่วนเท่านั้นไม่สามารถเที่ยวชมได้ทุกพื้นที่ในพระราชวังดังนั้นเมื่อนักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวที่พระราชวังบัคกิ้งแฮมนี้จึงสามารถที่จะใช้ระยะเวลาในการชมและถ่ายรูปสวยๆประมาณภายใน 1 วันก็สามารถเที่ยวแล้วเสร็จได้แล้ว 

     ถ้าหากนักท่องเที่ยวคนไหนชื่นชอบความงดงามของศิลปะสถาปัตยกรรมการก่อสร้างและนิยมการถ่ายรูปกับวิวสวยๆเชื่อได้เลยว่าคุณจะต้องถูกใจกับการมาเยี่ยมชมความงดงามของพระราชวังบัคกิ้งแฮมอย่างแน่นอน  สำหรับพระราชวังแห่งนี้เปิดให้นักทอ่งเที่ยวชมความสวยงามได้เฉพาะเวลากลางวันเท่านั้น

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย.   แทงบอลออนไลน์ ภาษาไทย

ตำนาน อุ้มพระดำน้ำ ประเพณีดีงาม ของเมืองมะขามหวานจังหวัดเพชรบูรณ์

หากพูดถึงตำนานหรือ ประเพณีอุ้มพระดำน้ำ นั้นในประเทศไทยเองมีประเพณีมากมายหลายจังหวัดด้วยกันเนื่องจากว่าพระพุทธรูปนั้นนับได้ว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่คู่กับประเทศไทยหรือเป็นศักดิ์สิทธิ์ประจำบ้านเมืองและประจำจังหวัดคนไทยให้ความเคารพนับถือพระพุทธรูปกันเป็นอย่างมากดังนั้นจึงมีความเชื่อและความศรัทธาในพระพุทธรูปที่ประดิษฐานอยู่ในจังหวัดของตนเองและก่อเกิดเป็นตำนานเล่าขานกันต่อๆกันมามากมายหลายรุ่น

           สำหรับตำนานที่เราจะพูดถึงกันในครั้งนี้นั้นเป็นตำนานของจังหวัดเพชรบูรณ์เมืองมะขามหวานซึ่งตำนานที่ว่านั้นก็จะเป็นตำนานของการอุ้มพระพุทธรูปดำน้ำโดยพระพุทธรูปนั้นจะถูกอุ้มไปทำพิธีที่กลางลุ่มแม่น้ำป่าสักซึ่งองค์พระพุทธรูปที่ชาวบ้านให้ความเคารพนับถือและใช้ประกอบพิธีตามตำนานนั่นก็คือพระพุทธมหาธรรมราชา  ซึ่งไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าพระพุทธรูปองค์นี้สร้างขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่แต่เป็นพระพุทธรูปที่มีความงดงามมากโดยสร้างมาจากทองสำริดเป็นปรางค์สมาธิ

          อย่างไรก็ตามลักษณะของพระพุทธรูปนั้นถูกออกแบบมาในรูปแบบของศิลปะขอมและจากการตรวจสอบก็พบว่าพระพุทธรูปนี้เป็นพระพุทธรูปที่เก่าแก่อายุหลายร้อยปีโดยครั้งแรกนั้นมีชาวประมงคนหนึ่งได้มีการออกหาปลาด้วยการล่องเรือและทอดแหไปเรื่อยๆในแม่น้ำป่าสักแต่แล้ววันหนึ่งก็เกิดมีพายุฝนลมแรงขึ้นซึ่งพายุฝนนั้นตกหนักรุนแรงอย่างมากแต่เกิดขึ้นเพียงแค่เวลาไม่นานเท่านั้น

         ประเพณีอุ้มพระดำน้ำ  หลังจากที่พายุสงบลงปรากฏว่ามีพระพุทธรูปองค์หนึ่งลอยตามน้ำมาทำให้ชาวประมงที่อยู่ในเหตุการณ์รวมถึงชาวบ้านเริ่มบ้านใกล้เรือนเคียงที่เห็นเหตุการณ์ต่างก็ ศรัทธาในพระพุทธรูปองค์นี้เป็นอย่างมากและได้มีการอัญเชิญพระพุทธรูปขึ้นจากน้ำนำไปประดิษฐานที่วัดไตรภูมิหลังจากนั้นก็มีการถวายเครื่องประดับของกษัตริย์ให้กับพระพุทธรูปโดยเป็นชุดนักรบขอมสมัยโบราณ

           นับตั้งแต่ที่ชาวบ้านมีการอัญเชิญพระพุทธรูปมาไว้ที่วัดว่ากันว่าในทุกๆปีในช่วงของวันสารทซึ่งจะตรงกับวันแรม 15 ค่ำพระพุทธรูปจะหายไปจากวัดโดยที่ไม่มีใครรู้ว่าพระพุทธรูปหายไปไหนและชาวบ้านเมื่อออกตามหากันก็มักจะเห็นว่าพระพุทธรูปองค์เดิมนั้นจะรออยู่ในแม่น้ำซึ่งเป็นจุดเดียวกับที่ชาวบ้านเจอพระพุทธรูปครั้งแรกและนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาพอถึงวันสารทชาวบ้านก็จะมีการอัญเชิญพระพุทธรูปไปสกอร์พิธีดำน้ำตามประเพณีซึ่งปัจจุบันก็เรียกกันประเพณีว่าประเพณีอุ้มพระดำน้ำนั่นเอง 

         ปัจจุบันที่จังหวัดเพชรบูรณ์ยังสืบสานประเพณีต่อกันมาโดยคนที่จะมาอุ้มพระพุทธรูปไปประกอบพิธีดำน้ำนั้น ในสมัยโบราณจะต้องเป็นเจ้าเมืองหรือพ่อเมือง  แต่สำหรับในยุคปัจจุบันนั้นก็จะใช้เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้ดำเนินการเป็นประธานในพิธีอุ้มพระพุทธมหาธรรมราชาลงไปในน้ำป่าสัก ซึ่งประเพณีนี้ชาวบ้านเชื่อว่าจะสร้างความสงบร่มเย็นให้กับชาวจังหวัดเพชรบูรณ์นั่นเอง 

 

สนับสนุนโดย.   ufabet ฝากเงิน ออโต้

ตำนานคฤหาสน์ ซ่อนผี Winchester House

เป็นตำนานที่กล่าวถึงเรื่องราวของคฤหาสน์หลังหนึ่งที่มีการสร้างอยู่บนเนื้อที่มากกว่า สี่ร้อยไร่  ตำนานคฤหาสน์ หรือประมาณ 160  เอเคอร์ และคฤหาสน์แห่งนี้นั้นใข้เวลาก่อสร้างนานถึง 36 ปี ซึ่งคฤหาสน์แห่งนี้เป็นของคนในตระกูล วินเชสเตอร์  ซึ่งเป็นตระกูลที่เก่าแก่ และทรงอิทธิพล แถมยังเป็นตระกูลที่ร่ำรวยมากมากอีกด้วย

        สำหรับเจ้าของคฤหาสน์หลังนี้นั้น มีชื่อว่า ซาราห์ วินเชสเตอร์ โดยคฤหาสน์แห่งนี้สร้างอยู่ที่เมืองซานโฮเซ๋  รัฐแคลิฟอร์เนีย สำหรับคฤหาสน์นี้มีชื่อเรียกว่า Winchester House  และชาวบ้านต่างก็พากันตั้งฉายาว่าคฤหาสน์ซ่อนผี 

           ส่วนสาเหตุนั้นก็เพราะว่า  ซาราห์ วินเชสเตอร์  เธอมีปัญหาเรื่องของสุขภาพจิตจึงทำให้มีความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องของวิญญาณและภูตผีปีศาจโดยก่อนหน้าที่เธอจะมาเชื่อเรื่องต่างๆเหล่านี้นั้นเธอได้สูญเสียลูกของเธอโดยไม่ทราบสาเหตุ  จนทำให้เธอนั้นมีปัญหาด้านสุขภาพจิตต้องรักษาตัวนานถึง 10 ปีกว่าจะอาการดีขึ้นแต่พออาการเริ่มจะดีขึ้นเธอก็ต้องมาสูญเสียสามีจากเหตุการณ์ไม่คาดฝันอีกเช่นเดิมทำให้อาการของเธอนั้นหนักมากขึ้นกว่าเดิมอีก

       หลังจากที่ ซาราห์ วินเชสเตอร์  ต้องสูญเสียทั้งลูกและสามีไป เธอจึงได้หันไปพึ่งไสยศาสตร์. ตำนานคฤหาสน์ และคนทรงเจ้า และมันทำให้เธอเชื่อว่าเธอติดต่อกับวิญญาณของสามีและลูกของเธอได้ ซึ่งวิญญาณทั้งสามีและลูกของเธอบอกว่า พวกเขาตายเพราะคำสาปแช่งของวิญญาณที่อาฆาต  ซึ่งวิญญาณเหล่านั้น ตายเพราะปืนที่ครอบครัวของเธอเป็นเจ้าของธุรกิจ และเป็นผู้ขายปืนรายใหญ่ของประเทศสหรัฐนั่นเอง 

         ทั้งนี้เธอยังเชื่อว่าเธอจะเป็นรายต่อไปที่วิญญาณร้ายจะมาเอาชีวิต ด้วยความกลัว เธอจึงได้หาทางแก้คำสาปนี้ โดยการที่เธอไปหาซื้อที่แล้วสร้างเป็นคฤหาสน์ซึ่งคฤหาสน์ของเธอนั้น จะมีช่างมาก่อสร้างให้เธอตลอดเวลา 24 ชั่วโมงไม่มีพัก โดยจะมีช่างก่อสร้างผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันทำงาน ทำให้คฤหาสน์หลังนี้มีห้องมากกว่า 160 ห้องและมีตั้งบันไดและประตูเยอะแยะมากมาย จนถึงขนาดที่ว่าหากใครมาที่คฤหาสน์แห่งนี้อาจจะหลงก็ได้ 

        ซึ่งในแต่ละคืนนั้น ซาราห์ วินเชสเตอร์  จะเปลี่ยนห้องนอนทุกคืนโดยที่ไม่บอกใครว่าจะนอนห้องไหน แต่แล้ววันหนึ่งเกิดแผ่นดินไหวทำให้คฤหาสน์พังเสียหายบางส่วน และบังเอิญว่าเป็นโซนที่ ซาราห์ วินเชสเตอร์  พักอยู่ทำให้เธอติดในซากปรักหักพังอยู่นานกว่าจะมีคนหาเธอเจอ 

        ด้วยความกลัวว่าจะมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีกทำให้เธอนั้นเปลี่ยนเป็นนอนห้องเดิมทุกคืน แต่แล้วอยู่มาวันหนึ่งในช่วงที่เธออายุประมาณ 83 ปีระหว่างที่ช่างกำลังตอ่เติมบ้านนั้น ปรากฏมีฟ้าผ่าลงมาใกล้กับที่ช่างทำงาน  ด้วยความกลัวว่าฟ้าจะผ่าทำให้ช่างหยุดทำงาน และในคืนนั้นเอง ซาราห์ วินเชสเตอร์  ก็เสียชีวิตในคืนนั้นโดยไม่ทราบสาเหตุ และยิ่งทำให้ตำนานของ  Winchester House คฤหาสน์ ซ่อนผี นั่นเอง

 

สนับสนุนโดย.   ufabet สมัคร

ตำนานของ นันทมานพผู้ถูกธรณีสูบ

สำหรับตำนานที่จะพูดถึงในวันนี้เป็นตำนานของ นันทมานพผู้ถูกธรณีสูบ ซึ่งชายคนนี้เป็นบุคคลซึ่งมีการเล่าขานว่าเขาเป็นคนที่ถูกธรณีสูบ เพราะก่อกรรมทำเข็ญที่ยากเกินจะให้อภัย

สำหรับตำนานของนันทมานพที่เป็นคนบาปจนธรณีสูบลงไปใต้ดิน

นั้นเกิดขึ้นในสมัยพุทธกาลซึ่งในสมัยนั้นมีหญิงสาวที่งดงามมากคนหนึ่งเธอชื่อว่า นางอุบลวรรณา  เรียกได้ว่าหากใครได้เห็นหน้านางอุบลวรรณาต่างก็พากันตกหลุมรักนางเพราะนางเป็นหญิงสาวที่งดงามทั้งกายและใจ 

        แต่อย่างไรก็ตามนางอุบลวรรณาไม่เคยสนใจชายคนใดเลยและรู้สึกไม่ชอบใจด้วยซ้ำที่มักจะมีหนุ่มมาตามจีบจนในที่สุดนางอุบลวรรณาก็ตัดสินใจที่จะรับจากทางโลกแล้วปฏิบัติธรรมจึงได้ทำการออกบวชเป็นพระภิกษุณีโดยมีการโกนหัวถือศีลภาวนาซึ่งในสมัยปัจจุบันเราเรียกคนที่โกนหัวออกบวชนี้ว่าแม่ชีนั้นเอง 

        นางอุบลวรรณานั้นถึงแม้ว่าจะโกนหัวออกบวชเป็นแม่ชีแล้วแต่ความงดงามนั้นก็ยังคงมีอยู่ซึ่งแน่นอนว่าชายหลายคนที่เห็นว่านางอุบลวรรณามีการโกนหัวออกไปแล้วก็พากันเลิกคิดที่จะตามจีบนางอุบลวรรณาแต่ยังมีชายผู้ที่ชื่อนันทมานพยังคงตามเฝ้ามองนางอุบลวรรณาอยู่ตลอดเวลาเพราะเกิดรักปักใจถึงแม้ว่านางจะโกนหัวบวชชีไปแต่ก็ไม่ทำให้ความรักของนันทมานพนั้นลดน้อยลง

        นางอุบลวรรณานั้นถือศีลภาวนาจนในที่สุดก็สามารถบรรลุเป็นอรหันต์ได้ซึ่งเรื่องราวก็เกิดขึ้นหลังจากนั้นเมื่อนันทมานพที่ติดตามเฝ้ามองนางอุบลวรรณามานานแสนนานไม่สามารถทนได้อีกต่อไปในที่สุดเขาก็ได้เข้าไปทำการข่มขืนนางอุบลวรรณาในอาศรมที่พักของนางอุบลวรรณาเองถึงแม้ว่านางอุบลวรรณาจะขัดขืนอย่างไรแต่ก็ไม่สามารถสู้แรงได้

         และเมื่อนันทมานพข่มขืนนางอุบลวรรณาเรียบร้อยแล้วก็ย่องหนีลงจากเรือนแต่ระหว่างที่ก้าวขาลงเหยียบพื้นนั้นเองก็เกิดธรณีหรือแผ่นดินแยกออกจากกันหลังจากนั้นก็สูบร่างของนายนันทมาณพลงไปเมื่อร่างของนาย นันทมานพผู้ถูกธรณีสูบ ลงไปภายใต้ดินเป็นที่เรียบร้อยแล้วแผ่นดินที่แยกออกจากกันนั้นก็ประกบเข้าหากันเหมือนกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน

         ส่วนทางด้านบนวรรณานั้นด้วยคิดว่าร่างกายของตนเองนั้นแปดเปื้อนไม่สามารถที่จะถือศีลได้แล้วจึงได้ไปให้พระพุทธเจ้าทำการปลงอาบัติให้แต่พระพุทธเจ้านั้นได้สอบถามเรื่องราวหลังจากทราบเรื่องราวแล้วจึงบอกนางอุบลวรรณาว่าสิ่งที่นางอุบลวรรณาพบเจอนั้นถือว่าผิดสินเนื่องจากว่านางอุบลวรรณานั้นไม่ได้ยินยอมพร้อมใจแต่เป็นเหตุสุดวิสัยจึงไม่จำเป็นต้องทำการปลงอาบัตินั่นเอง

 

สนับสนุนโดย  gclubฟรี500

หลวงพ่อเขียน ผู้เป็นบุคคลในตำนานให้คนรู้จักการเดินเท้าขึ้นเขาคิชฌกูฏ เพื่อนำมัสการรอยเท้าพระพุทธบาท

เชื่อว่าหลายคนคงรู้จักเขาคิชฌกูฏกันเป็นอย่างดี  การเดินเท้าขึ้นเขาคิชฌกูฏ  โดยเขานี้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวที่น่าสนใจเกี่ยวกับการกราบไหว้ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์มักจะเดินทางมากราบไหว้ขอพรบนยอดเขาคิชฌกูฏกันเป็นอย่างดีเนื่องจากว่าที่บนยอดเขานั้นจะมีรอยเท้าของพระพุทธเจ้าเรียกว่ารอยพระพุทธบาทขนาดไหนปรากฏอยู่และที่เขาคิชฌกูฏแห่งนี้ไม่ได้เปิดให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปนมัสการรอยพระพุทธบาทตลอดทั้งปีแต่จะเปิดเฉพาะแค่ช่วงเวลาเท่านั้น

        ซึ่งโดยปกติแล้วการที่จะเปิดให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปนมัสการรอยพระพุทธบาทนั้นจะจัดขึ้นช่วงประมาณเดือนมกราคมถึงเดือนมีนาคมโดยทางผู้ดูแลเขาคิชฌกูฏจะมีการประกาศผ่านสื่อต่างๆก่อนที่จะมีการเปิดให้ประชาชนเข้าไปนมัสการซึ่งเรื่องที่มีการเปิดให้ประชาชนขึ้นไปนมัสการรอยพระพุทธบาทนั้นประชาชนจะสามารถเดินทางขึ้นไปได้ตลอด 24 ชั่วโมง

โดยจะมีเจ้าหน้าที่คอยอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยให้อย่างไรก็ตามเชื่อว่าหลายคนอาจจะไม่เคยรู้ว่าคนแรกที่พบเจอรอยเท้าพระพุทธบาทบนเขาคิชฌกูฏและเป็นบุคคลในตำนานที่ทำให้ปัจจุบันผู้คนหันไปสนใจที่จะขึ้นไปบนยอดเขาคิชฌกูฏเพื่อไปกราบไหว้ขอพรรอยเท้าพระพุทธบาท นั้นเป็นใครวันนี้เราจะมาแนะนำข้อมูลเหล่านี้ให้ทราบกัน 

         การเดินเท้าขึ้นเขาคิชฌกูฏ สำหรับบุคคลแรกที่เป็นบุคคลในตำนานที่ได้รับความเคารพนับถือจากชาวจังหวัดจันทบุรีนั้นก็คือหลวงพ่อเขียนนั่นเองซึ่งท่านนั้นเป็นพระครูนักพัฒนานำความเจริญรุ่งเรืองมาสู่วัดในจังหวัดจันทบุรีอย่างแท้จริงและท่านยังเป็นผู้นำเป็นผู้ที่ค้นพบรอยพระพุทธบาทบนยอดเขาคิชฌกูฏเป็นคนแรกเนื่องจากว่าหลวงพ่อเขียนนั้นท่านชอบทำจิตภาวนาจึงมักจะพูดลงไปยังสถานที่ต่างๆและหนึ่งในสถานที่ที่หลวงพ่อเขียนเดินธุดงค์ไปนั่นก็คือบนยอดเขาคิชฌกูฏนั่นเอง

           ซึ่งแน่นอนว่าตลอดระยะเวลาที่ท่านมีชีวิตอยู่นั้นท่านมีการยึดถือปฏิบัติเดินทางไปจิตตั้งจิตภาวนาที่บนยอดเขาคิชฌกูฏอยู่บ่อยครั้งเนื่องจากบนนั้นจะมีรอยเท้าพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้าอยู่ทำให้หลังจากที่ผู้คนรู้ว่าบนยอดเขาคิชฌกูฏนั้นมีรอยเท้าพระพุทธบาทก็ได้มีการตัดการเดินขึ้นเขาคิชฌกูฏเป็นประจำขึ้นทุกปีเพื่อที่จะให้ประชาชนได้มีโอกาสไปกราบไหว้ขอพรรอยเท้าพระพุทธบาทนั้นเองซึ่งระยะเวลาที่จะมีการขึ้นไปนั้นจะเปิดโอกาสให้ประชาชนขึ้นไปบนยอดเขาคิชฌกูฏแค่ประมาณ 2 เดือนเพียงเท่านั้น

            สำหรับการค้นพบรอยเท้าพระพุทธบาทบนยอดเขาคิชฌกูฏนั้นหลวงพ่อเขียนค้นพบช่วงเวลาประมาณปีพ.ศ 2397 และเป็นการเผยแพร่ให้กับประชาชนที่มาฟังคำสั่งสอนเทศนาของหลวงพ่อเขียนได้รู้ว่าบนยอดเขาคิชฌกูฏนั้นมีรอยเท้าพระพุทธบาทและท่านก็ส่งเสริมให้คนขึ้นไปกราบไหว้รอยพระพุทธบาทนั้นเอง 

 

สนับสนุนโดย.    สมัคร gclub ไม่มีขั้นต่ำ

ตำนาน ไอ้ส้มฉุน แห่งวัดทรงเสวย

ไอ้ส้มฉุน แห่งวัดทรงเสวย  สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังมีชื่อเสียงโด่งดังอยู่ในขณะนี้ไม่แพ้ ไอ้ไข่  แห่งวัดเจดีย์ กันเลยทีเดียว ซึ่งแน่นอนว่าไม่ว่าจะเป็นไอ้ส้มฉุนหรือว่าไอ้ไข่นั้นก็คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวบ้านให้ความเคารพนับถือโดยเฉพาะอย่างยิ่งการบ้านมักจะมากราบขอพรและขอหวยกับไอ้ไข่และไอ้ส้มฉุนกันเป็นประจำทุกเดือนด้วยเดือนนึงนั้นจะต้องเดินทางมาไม่ต่ำกว่า 2 รอบด้วยกันเนื่องจากว่าหวยจะออกเดือนละ 2 ครั้งจึงจำเป็นต้องมาขอเลขเด็ดจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองรูปนี้นั่นเอง

           สำหรับ ไอ้ส้มฉุน แห่งวัดทรงเสวย นั้นเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่โด่งดังมากในจังหวัดชัยนาทโดยมีรูปปั้นอยู่ที่วัดทรงเสวย   สำหรับเรื่องราวหรือตำนานของไอ้ส้มฉุนนั้นได้มีผู้เฒ่าผู้แก่ได้มีการบอกต่อๆกันมาให้ลูกหลานของตนเองฟังว่า ไอ้ส้มฉุน นั้นเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงแต่สมัยที่มีการก่อสร้างวัดทรงเสวยในช่วงแรกๆนั้นเอง 

    ซึ่งในสมัยก่อนนั้นเจ้าอาวาสที่ดูแลวัดทรงเสวยแห่งนี้ชื่อว่าหลวงปู่คล้อย โดยไอ้ส้มฉุนนั้นเป็นลูกศิษย์สายตรงของหลวงปู่คล้อยเป็นลูกศิษย์ที่หลวงปู่ค่อยให้ความรักและเอ็นดูโปรดปรานเป็นพิเศษนั่นเองซึ่งหลวงปู่ค่อยเรียกลูกศิษย์คนนี้ว่าเจ้าส้มฉุน  

       ส่วนสาเหตุที่หลวงปู่คอยรักและเอ็นดูเจ้าส้มฉุนเป็นพิเศษนั้นก็เพราะว่าเจ้าส้มฉุนนั้นเป็นเด็กกำพร้า  ดังนั้นหลวงปู่จึงได้ให้ความรักและเอ็นดูส้มฉุนเป็นพิเศษจนเมื่อเจ้าส้มฉุนนั้นอายุได้ 10 ปีก็ไปเล่นซนเลยแอบหลวงปู่ค่อยไปลงเล่นน้ำจนเป็นตะคริวและจมน้ำตายโดยที่ไม่มีใครเห็น

       เนื่องจากว่าในขณะนั้นเด็กอายุ 10 ขวบมักจะเล่นซนเป็นธรรมดาอยู่แล้ว และหลังจากนั้นนับตั้งแต่ที่เจ้าส้มฉุน เสียชีวิตลง ใครก็ตามที่เข้ามาบวชที่วัดแห่งนี้จะต้องพบเจอกับวิญญาณของเจ้าส้มฉุน อยู่เป็นประจำ

      โดยในทุกๆคืนนั้นเจ้าจงสนจะออกมาวิ่งเล่นอยู่ภายในพื้นที่บริเวณวัดหรือบางครั้งก็อาจจะไปทำการขอขนมพระที่บวชใหม่หรือบางทีก็ไปกลั่นแกล้งบรรดาพระที่บวชใหม่ด้วยการเข้าไปขอนอนด้วยหรือไปดึงขาเล่น

      ซึ่งพระทุกรูปที่อยู่ในวัดทรงเสวยนั้นจะต้องเคยเจอกับเจ้าส้มฉุนกลั่นแกล้งอยู่เป็นประจำอย่างต่อเนื่องนั่นเอง ดังนั้นทางด้านเจ้าอาวาสและชาวบ้านจึงได้มีการรวมตัวกันตั้งศาลหลักเมืองมาและทำเป็นรูปปั้นซึ่งเป็นตัวแทนของเจ้าส้มฉุนเพื่อให้เจ้าส้มฉุนนั้นอาศัยอยู่ภายในรูปปั้นดังกล่าว และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาผู้คนก็พากันมากราบไหว้และขอหวยขอพรกันไม่ขาดสายนั่นเอง

 

สนับสนุนโดย    gclub casinoทดลองเล่น

ตำนานแม่นากพระขโนง คือผีเฮี้ยนเป็นเรื่องจริงหรือไม่?

ตำนานแม่นากพระขโนง  ซึ่งในความสงสัยอย่างรุนแรงของพ่อมากนั้นเขาก็เลยได้ตั้งกลอุบายที่จะทำให้ตัวเองหนีออกจากบ้านไปได้นั่นก็คือเขาได้ทำการเจาะรูโอ่งที่มีน้ำเต็มโอ่งพร้อมกับอุดรูเอาไว้หลังจากนั้นก็รอให้เป็นเวลากลางคืนและได้อ้างต่อแม่นาคว่าปวดปัสสาวะขอลงไปฉี่หน่อย

โดยหลังจากนั้นก็ได้เปิดกลอุบายก็คือเอาจุกที่อุดรูโอ่งน้ำเอาไว้เพื่อให้น้ำไหลออกมาตกกระทบกับพื้นให้มีเสียงลักษณะคล้ายเหมือนกับสียงฉี่นั่นเองและในคืนนั้นเองพ่อมากก็ทำสำเร็จแต่เหมือนแม่นาคจะรู้ตัวแม่นาคก็ได้ทำการผูกเชือกเอาไว้ที่ข้อมือของพ่อมากและข้อมือของแม่นาคเอาไว้ด้วยกันในระยะห่างที่สามารถลงไปปัสสาวะและสามารถราดน้ำจากโอ่งได้

นอกจากนี้ก็ได้ทำให้พ่อมากนั้นเกิดตกใจอย่างเล็กน้อยว่าทำไมแม่นาคถึงระแวงได้ขนาดนี้แต่เขาก็ไม่ลดความพยายามเขาก็ลงไปปัสสาวะจริงๆและทำการเปิดรูที่เจาะโอ่งเอาไว้ให้มันมีเสียงเหมือนฉี่อยู่ตลอดเวลาพร้อมกับปลดเชือกที่อยู่ในมือไปผูกกับต้นไม้ที่อยู่ใกล้นั่นเอง

ตำนานแม่นากพระขโนง  เนื่องจากนี้พ่อมากก็ได้วิ่งออกไปหาความจริงและพ่อมากก็ได้รู้ความจริงแล้วว่าแม่นาคนั้นเธอได้เสียชีวิตไปตั้งนานแล้วและพ่อมากก็ไม่รู้จะไปพึ่งพาใครได้เขาเลยวิ่งไปหากุฏิพระอาจารย์ที่วัดมหาบุศย์โดยในตอนนั้นแม่นาคก็รู้ตัวแล้วว่าพ่อมากไปหนีออกจากเค้าไปแล้วแม่นาคโกรธมากพร้อมกับร้องเสียงดังออกมาลั่นหมู่บ้านและได้แปลงกายเป็นผีที่มีรูปร่างเน่าเปื่อยพร้อมกับออกตามหาพ่อมากอย่างทันที

ดังนั้นแม่นาคก็ได้ใช้ระยะเวลาไม่นานไปพร้อมเจอพ่อมากอยู่ที่กุฏิพร้อมกับพระอาจารย์ที่นั่งอยู่และได้ตีกรอบสายสิญจน์เป็นรูปสี่เหลี่ยมเหมือนกับว่าป้องกันไม่ให้แม่นาคเข้ามาในสายสิญจน์เมื่อแม่นาคได้เห็นแบบนั้นก็โกรธเข้าไปใหย่พระอาจารย์ก็ได้พูดปลอบเป็นผีก็อยู่ส่วนผีอย่าได้มายุ่งกับมนุษย์เลย

ซึ่งก็ทำให้แม่นาคโกรธเป็นอย่างมากและแม่นาคก็เดินเข้ามาที่น่าสายสิญจน์และทำการดึงสายสิญจน์พร้อมกับฉีดสายสิญจน์ออกทั้งหมดเลยและตรงนั้นก็ได้สร้างความตกใจให้กับพ่อมากและพระอาจารย์มากว่าผีตนนี้หรือแม่นาคทำได้อย่างไง

เพราะฉะนั้นต่อให้แม่นาคฉีดสายสิญจน์ออกเป็นชิ้นๆแล้วเขาก็ยังสามารถเข้ามาในเขตอาคมได้แม่นาคก็เกิดความไม่พอใจและได้เดินหายเขาไปในป่าในที่สุดนั่นเอง

 

สนับสนุนโดย    gclub casinoทดลองเล่น

การเกิดสงครามครูเสดครั้งที่3

การเกิดสงครามครูเสดครั้งที่3 สงครามครูเสดครั้งที่สามเกิดขึ้นในปี ค.ศ.1189 โดยในครั้งนี้มีกษัตริย์พระองค์สำคัญจากยุโรปเข้าร่วมถึงสามพระองค์คือพระเจ้าแห่งโรมันอันศักดิ์สิทธิพระเจ้าฟิลิปแห่งฝรั่งเศสพระเจ้าริชาร์ดที่1แห่งอังกฤษ

โดยทั้งสามพระองค์ได้ตกลงกันว่าจะยกทัพของตนไปรบกับพวกมุสลิมเพื่อยึดเอานครเยรูซาเล็มกลับคืนมาเป็นของชาวคริสเตียนให้ได้หากแต่การเดินทัพครั้งนี้เต็มไปด้วยอุปสรรคมากมายต้องเกิดการสูญเสียครั้งใหญ่เนื่องจากพระเจ้าฟิลิปประสบอุบัติเหตุจนน้ำสิ้นพระชนม์

เมื่อต้องสูญเสียแม่ทัพคนสำคัญผู้เป็นถึงพระราชาเหล่านักรบอาณาจักรโรมันส่วนใหญ่จึงหมดกำลังที่จะต่อสู้พากันหันทัพกลับบ้านเกิดอย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าปัญหาพวกยุโรปด้วยกันจะเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาแม้จะเหลือเพียงสองกองทัพที่มุ่งหน้าสู่เยรูซาเล็ม

กองทัพของพระเจ้าฟิลิปและพระเจ้าริชาร์ดที่หนึ่งก็ดูเหมือนจะต้องมีเรื่องที่ทะเลาะกันอยู่เสมอจนกระทั่งในปีค.ศ.1191เมื่อก่อน การเกิดสงครามครูเสดครั้งที่3 ทัพยุโรปสามารถตีเอาเมืองRKมาได้พระเจ้าฟิลิปก็ได้ยกทัพของตนกลับฝรั่งเศสส่วนพระเจ้าริชาร์ดที่หนึ่งได้ยกทัพต่อไปยังกรุงเยรูซาเล็ม

เพื่อทำสงครามชิงเมืองขึ้นศึกชิงเมืองเยรูซาเล็มดำเนินอยู่สองงปีกองทัพของพระเจ้าริชาร์ดที่หนึ่งก็ยังมิอาจจะตีเอาเมืองเยรูซาเล็มเมื่อไม่เห็นทางที่จะเอาชนะสรดินได้พระเจ้าริชาร์ดที่หนึ่งจึงได้ขอทำสัญญาสงบศึกโดยได้ทำไมตีร่วมกับสรดินขอให้พวกเติร์กยินยอมให้ชาวคริสเดินทางไปยังเยรูซาเล็มได้สะดวกกล่าวกันว่าพระเจ้าริชาร์ดที่หนึ่งและสรดินนั้นถูกอัธยาศัยกันมาก

ซึ่งต่างฝ่ายต่างก็ได้ชื่นชมกันและยกย้องอีกฝ่ายว่าเป็นมหาบุรุษดังนั้นจึงยอมผ่อนปนและตอบสนองข้อเรียกร้องของอีกฝ่ายอย่างง่ายดายหลังจากสงครามครูเสดครั้งนี้พวกชาวคริสเตียนที่อาศัยอยู่ดินแดนแทบนี้ยังคงเหลืออยู่ในแทบRKในอีกหลายแห่ง

ในขณะที่พวกเติร์กได้ครองนครศักดิ์เยรูซาเล็มต่อไปแต่ก็ยินยอมให้ชาวคริสเตียนได้เดินทางมายังนครเยรูซาเล็มได้โดยเสรีสงครามครูเสดได้สงบลงไปในระยะหนึ่งจนกระทั่งได้มีผู้นำคนสำคัญของพวกเติร์กได้สิ้นชีวิตลงในปีค.ศ1113ทำให้อาณาจักรของพวกเติร์กในเวลานั้นเกิดความแตกแยกสมเด็จสันตะปาปาอินโนเซ้นที่สามทรงเห็นโอกาสที่จะเข้าไปตีเอากรุงเยรูซาเล็มคืน

ดังนั้นพระองค์ทรงได้พยายามชักจูงให้ชาวคริสเตียนรวมตัวกันเพื่อทำสงครามแต่ปรากฎว่าบรรดากษัตริย์ในประเทศต่างๆกำลังยุ่งกับภาระอยู่ภายในประเทศจึงได้มีแค่เพียงเหล่าขุนนางรวมทั้งผู้ที่เข้าร่วมผจญภัยเท่านั้นที่เข้าร่วมสงครามครูเสดในครั้งที่สี่

 

สนับสนุนโดย.    สมัคร gclub ไม่มีขั้นต่ำ

ประวัติของอิสราเอลและปาเลสไตน์

โดยครั้งหนึ่งเมือ่ไม่นานมานี้สงครามโลกครั้งที่2สิ้นสุดลงภูมิภาคตะวันออกกลางดินแดนที่อยู่แถวๆอ่าวเปอร์เซียและทะเลเมดิเตอร์เรเนียนเป็นดินแดนที่อาจจะเรียกได้ว่าเป็นทางเสือผ่านของอำนาจทางการทหารมาตั้งแต่ยุคดึกดําบรรพ์แต่ได้เจริญรุ่งเรือนเป็นอุอารยธรรมของโลกยังคงฝุ่นตลบจากผลพวงจากสงครามอยู่

เมื่อชาวยิวที่อยู่ในดินแดนที่เรียกว่าปาเลสไตน์ได้ประกาศเอกราชก่อตั้งประเทศอิสราเอลขึ้นมาย้อนกลับไปที่สงครามโลกครั้งที่2มีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวนาซีเยอรมันเมื่อสงครามเลิกก็มีชาวยิวเป็นจำนวนมากี่รอดชีวิตมาได้ตัดสินใจเดินทางออกจากยุโรป

เพราะคิดว่าพวกเราอยู่ไม่ได้แล้วและได้กลับมายังที่ปาเลสไตน์เหตุที่หวนกลับมายังที่ปาเลสไตน์ไม่ใช่เพราะว่าเขาหลับตาจิ้มกันนะแต่เป็นเพราะว่าชาวยิวมีความเชื่อว่าดินแดนที่ปาเลสไตน์เป็นพันธสัญญาที่ตามพระคัมภีร์ที่พระเจ้าได้มอบให้กับชนเผ่าอิสราเอลและที่ดินแดนแห่งนี้ชาวยิวมีสิทธิชอบธรรมที่จะอาศัยอยู่

โดยที่จริงแล้วชาวยิวก็ทยอยกลับไปซื้อจับจองที่ดินในปาเลสไตน์ก่อนหน้านนี้นานแล้วแต่การย้ายครั้งใหญ่ที่มากันแบบเยอะๆในการอพยพหรือExodusมันเกิดขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่2ดินแดนที่ปาเลสไตน์มันไม่ใช่ที่รกร้างว่างเปล่านะมันมีคนอยู่แล้วได้อาศัยอยู่กันมานานแล้วด้วยคนที่อยู่กันตรงนั้นก็คือชาวปาเลสซีเนี่ยร์

ซึ่งเป็นอาหรับนั่นเองตะวันออกกลางก็เป็นอาหรับกันเกือบทั้งนั้นยกเว้นอิหร่านที่เป็นชาวเปอร์เซียนอกจากนี้พอชาวยิวได้แห่กันมาประเทศอาหรับรอบๆก็จะนอยอยู่ๆจะย้ายเข้ามาแล้วประกาศตัวว่าจะมาตั้งประเทศตรงที่พวกข้านั้นอาศัยอยู่กันเนี่ยนะมันก็ไม่ดีใช่ไหมมันก็เป็นแบบนี้แหละ

สงครามจึงได้ปะทุขึ้นมาโดยชาติอาหรับรอบข้างนำโดยอิยิปต์ซีเรียจอร์แดนเลบานอนและอิรักก็ได้ทำการเปิดฉากโจมตีประเทศอิสราเอลในสงครามที่เรียกว่า สงครามอาหรับ – อิสราเอล ในปี1948 หรือในปี พ.ศ.2491ประมาณ60กว่าปีที่แล้วแต่ว่าการที่จะทำสงครามถล่มยิวโดยมีชาวปาเลสไตน์ที่เป็นอาหรับอยู่ในดินแดนนั้นเป็นจำนวนมากมันก็น่าเป็นห่วงคนปาเลสไตน์ว่าจะโดนลูกหลงเป็นอันตรายได้

ดังนั้นเหล่าอาหรับทั้งหลายเขาก็ได้บอกปาเลสไตน์ให้อพยพออกมาก่อนเลยเดี๋ยวจะทำการถล่มไปก่กอนพอถล่มเสร็จก็ค่อนกลับเข้าไปออกจะเป็นแนวเดียวกันกับที่เราได้อพยพหนีน้ำท่วมกันมาเมื่อไม่กี่เดือนที่แล้วชาวปาเลสไตน์700,000กว่าคนก็ได้อพยพมาตั้งหลักมาอยู่ที่ประเทศจอร์แดน700,000กว่าคนและเหล่าอาหรับก็รวมตัวกันจัดการอิสราเอลในลักษณะที่ว่ามันไม่น่ารอดแต่ด้วยเหตุใดเราก็ไม่กล้าฟันธงปรากฎว่าเอาไม่ลง

 

ขอบคุณผู้สนับสนุนเรื่องราวโดย.    ทางเข้า ufabet ภาษาไทย