ต้นกำเนิดของศาสนาพุทธและความเป็นมาของศาสนาพุทธ

ศาสนาพุทธมีต้นกำเนิดจากประเทศอินเดียในศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสตกาล โดยมีสมเด็จพระสุทธิมงคล (Siddhartha Gautama) เป็นผู้ก่อตั้งศาสนาพุทธ

เขาเกิดในเมืองลุมพินี (Lumbini) ในบริเวณที่เป็นปัจจุบันของประเทศเนปาลและโตขึ้นในสมบัติสง่าของราชวงศ์ของเขาในเมืองคัปิลวัตต์ (Kapilavastu) ที่ตอนเหนือของอินเดีย

เมื่อพระสุทธิมงคลตระเวนรอบบริเวณเพื่อตามหาคำตอบเกี่ยวกับความทุกข์และความเจ็บปวดในชีวิตมนุษย์ และพบเส้นทางสู่การตรัสรู้และการผ่อนคลายจากความทุกข์ พระเจ้าสุทธิมงคลได้นำเสนอปรัชญาและวิธีการในการหลีกเลี่ยงความทุกข์แก่ผู้ตายตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ซึ่งเป็นเบื้องหน้าของศาสนาพุทธ

จากนั้น พระสุทธิมงคลได้สร้างสังฆราชานุสรณ์ (Sangha) ซึ่งเป็นชุมชนของพระสงฆ์และผู้ศรัทธา และเริ่มสอนคำสอนของเขาต่อสมาชิกในสังฆราชานุสรณ์ ซึ่งก็เป็นจุดเริ่มต้นของการแพร่หลายของศาสนาพุทธจากภูมิภาคอินเดียไปยังภูมิภาคอื่น ๆ ของเอเชียและโลกใบนั้น

ซึ่งเป็นที่มาและต้นกำเนิดของศาสนาพุทธที่เรารู้จักในปัจจุบันได้นับถือว่าเป็นพระพุทธเจ้าและสังฆราชานุสรณ์ในศาสนาพุทธเป็นองค์ประกอบสำคัญที่รักษาไว้ในการศึกษาและศาสนาด้วยกันและจะยังคงสึกษาอยู่ในชุมชนศาสนาพุทธทั่วโลก

ในปัจจุบันด้วยการศึกษาและการปฏิบัติงานทางศาสนา ซึ่งเป็นที่มาและต้นกำเนิดของศาสนาพุทธที่เรารู้จักในปัจจุบันได้นับถือว่าเป็นพระพุทธเจ้าและสังฆราชานุสรณ์ในศาสนาพุทธเป็นองค์ประกอบสำคัญที่รักษาไว้ในการศึกษาและศาสนาด้วยกันและจะยังคงสึกษาอยู่ในชุมชนศาสนาพุทธทั่วโลกในปัจจุบันด้วยการศึกษาและการปฏิบัติงานทางศาสนา

การเคารพและการกราบไหว้เป็นประการที่สำคัญในศาสนาพุทธ โดยมีหลายวิธีและเหตุผลที่เกี่ยวข้องกับการกราบไหวนี้ เช่น

1.การกราบไหวต่อพระพุทธเจ้า: การเคารพและกราบไหวต่อพระพุทธเจ้าเป็นที่สำคัญในศาสนาพุทธ ผู้ศรัทธาพุทธมักจะกราบไหวต่อภาพพระพุทธเจ้า รวมถึงการสวดมนต์และพูดคำสวดอื่น ๆ เพื่อแสดงความเคารพและเสนอบรรณาธิการต่อพระพุทธเจ้า

2.การกราบไหวต่อพระสงฆ์: นอกจากนี้ การเคารพและกราบไหวต่อพระสงฆ์ หรือผู้ในสังฆราชานุสรณ์ ก็เป็นสิ่งที่สำคัญ เนื่องจากพระสงฆ์ถือเป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้าและผู้ตระเวนรอบบริเวณเพื่อสอนศาสนา

 

ได้รับการสนับสนุนโดย    คาสิโนเวียดนาม

ประวัติวันตรุษจีนหรือเทศกาลตรุษจีน

วันตรุษจีน เรียกอีกชื่อว่า ตรุษจีน หรือเทศกาลตรุษจีน เป็นเทศกาลสำคัญที่สุดของชาวจีนทั่วโลก ซึ่งเริ่มต้นในวันเปิดตัวของดวงจันทร์ใหม่ในปีที่เกิดการตรงต่อกับการเคลื่อนไหวของดวงจันทร์และดวงอาทิตย์

ซึ่งมักเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 21 มกราคมถึง 20 กุมภาพันธ์ ตามปฏิทินสุริยคราฟวัลี และจะสิ้นสุดในวันเทศกาลไหว้พระสังฆราช เมื่อไหว้พระสังฆราชในวันเทศกาลตรุษจีนครั้งแรกของเดือนที่สองและสามวันนั้น นั้นจะถือว่าเป็นการเชิญชวนดวงจันทร์ที่เต็มดวงมาออกพระจันทร์ที่สามวันนั้น

 

ตรุษจีนมีประวัติการเป็นเทศกาลที่ยาวนานมากกว่า 4,000 ปี ตามฐานะของการศึกษาทางประวัติศาสตร์ นับตั้งแต่สมัยของจักรพรรดิโจว ในรัชสมัยของสวรรคต มีผลกระทบจากองค์การอเมริกันเพื่อการศึกษาที่จีนของที่ดินแห่งจีนที่ถูกทรยศไปเมื่อปี 1949

การปรับตัวทางสังคมในประเทศจีน ในช่วงเวลาหลังจากการเปิดเผยผลการประกวดของประเทศในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 ของสหรัฐอเมริกา ทำให้เทศกาลวันตรุษจีนมีลักษณะที่แตกต่างออกไป

วันตรุษจีนในปัจจุบันเป็นเทศกาลที่ทำให้คนเยือนพี่น้องบ้านกลับบ้านเพื่อรวมตัวกันในการทำกิจกรรมที่ต้องใช้เวลานาน ตั้งแต่การสำรวจถึงการป้องกันประหารชีวิตและการร่วมกับความแตกต่างในช่วงเวลานี้

 เทศกาลตรุษจีนมักจะมีการเปิดฉากด้วยการจุดเข้าสีแดงหรือการกระพือ ซึ่งมีความหมายเป็นการบรรลุประโยชน์ในการศรัทธาต่อพระองค์ของเทพเจ้า รวมทั้งการขอให้เกิดความสำเร็จและโชคดี ซึ่งกลายเป็นการเชื่อที่จริงในช่วงเวลานี้ในประเทศจีน นอกจากนี้ยังมีการทำการบ้านอย่างสมบูรณ์เพื่อพระเอกปลดปล่อยการทำบาปและสัญญาแก่พระองค์

 ในช่วงเวลาตรุษจีน กินข้าวขาวหรือข้าวเหนียวสีขาวจะมีความหมายเป็นสิ่งที่ใช้ในการบูชาเทพเจ้าและลูกเสือของเจ้า นอกจากนี้ยังมีการกินขนมจีนที่ทำจากแป้งสังเคราะห์ ซึ่งมักจะทำเป็นรูปแบบของพิมเสนหรือมังกร และการกินเป็นคู่เพื่อช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างพี่น้องบ้าน นอกจากนี้ยังมีการแข่งขันการเข้าใจที่แตกต่าง

 

การกราบไหว้วันตรุษจีน หรือเทศกาลตรุษจีน

การกราบไหว้เป็นประเพณีทางศาสนาและวัฒนธรรมที่มีทั่วไปในหลายส่วนของโลก การกราบไหว้มีความหมายในการแสดงความเคารพและเคารพอาทิตย์ สิ่งสำคัญในการกราบไหว้รวมถึงการโปรยหรือการสั่งให้กับสิ่งบูชา ซึ่งอาจเป็นดอกไม้ อาหาร หรือเงิน เพื่อเป็นการแสดงความนับถือและอาสาสมัครต่อพระองค์ที่ถูกบูชา

 ในบางวัฒนธรรม เช่น ในศาสนาพุทธ การกราบไหว้มักจะเป็นการนั่งคำนึงหน้าพระนิพพาน และในศาสนาคริสต์ การกราบไหว้อาจจะเป็นการพิมพ์ขั้นต่ำหรือการเท้าจับ ในส่วนของศาสนาอิสลาม การกราบไหว้จะเป็นการออกหน้าที่ในทิศทางของมัสยิด ในวัฒนธรรมจีนและหลายวัฒนธรรมที่มีอิทธิพลจีน

การกราบไหว้เป็นประการปฏิบัติที่สำคัญในการเทศน์ต่าง ๆ และเป็นองค์ประกอบสำคัญในงานเทศกาลและพิธีศาสนา

 การกราบไหว้ในวัฒนธรรมจีนนั้นมักจะเกี่ยวข้องกับการเคารพและบูชาพระองค์ การกราบไหว้ในเทศกาลตรุษจีนนั้นมักจะเป็นการนำเสนออาหารและเครื่องดื่ม การเผยแพร่เป็นบุญที่ใหญ่โตเพื่อเสริมสร้างโชคลาภและความรุ่งเรืองให้กับครอบครัวและผู้ที่บูชา

การกราบไหว้ในเทศกาลตรุษจีนมักจะรวมถึงการต่อสู้ของขบวนและการแสดงขบวนที่ยิ่งใหญ่ในสิ่งสำคัญที่สำคัญเช่น เสือเหลืองและดาบ การพิธีกราบไหว้นี้มักจะเกิดขึ้นในวันตรุษจีนและระหว่างช่วงเย็นในสิ้นปีนั้น ๆ หรือช่วงเช้าในวันแรกของปีใหม่ได้ เพื่อเป็นการเชื่อที่จริงว่าจะทำให้เกิดโชคลาภและโอกาสดี ๆ ในปีถัดไป

 

สนับสนุนโดย     เว็บหวยดี

การสนับสนุนองค์กร

กุญแจสำคัญในความมุ่งมั่นและความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงานในช่วงการแพร่ระบาด เป็นเวลาเกือบสองปีแล้วที่การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ผู้คนทำงานได้ยากขึ้น นอกจากหน้าที่การงานตามปกติแล้ว ผู้คนยังต้องกังวลเกี่ยวกับสุขภาพของตนเองและคนที่ตนรักด้วย

พวกเขาเผชิญกับความไม่แน่นอนที่เพิ่มมากขึ้นเกี่ยวกับอนาคต และต้องเรียนรู้วิธีการทำงานใหม่ๆ เมื่อพิจารณาถึงแรงกดดันเพิ่มเติมนี้

จึงไม่น่าแปลกใจที่พนักงานรายงานว่ารู้สึกมีความสุขในการทำงานน้อยลงนับตั้งแต่เริ่มมีการแพร่ระบาด การแพร่ระบาดยังได้ทำลายความมุ่งมั่นของพนักงานที่มีต่อองค์กรของพวกเขาด้วย เนื่องจากบริษัทต่างๆ หันมาใช้โมเดลการทำงานจากระยะไกลมากขึ้น

พนักงานจึงมีเหตุผลน้อยลงเรื่อยๆ ที่จะรู้สึกผูกพันกับที่ทำงาน เนื่องจากการโต้ตอบของมนุษย์ตามปกติถูกแทนที่ด้วยการสนทนาทางวิดีโอ เมื่อเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้ นายจ้างต่างตั้งคำถามว่า องค์กรต่างๆ จะทำอะไรได้บ้างเพื่อลดผลกระทบเชิงลบจากการระบาดใหญ่ที่มีต่อพนักงานของตน

การสนับสนุนจากองค์กรสามารถลดความเสียหายจากการแพร่ระบาดได้ เป็นคำถามนี้เองที่ฉันตั้งเป้าที่จะศึกษาในการศึกษาคนเกือบ 300 คนที่ทำงานเต็มเวลา

ผลลัพธ์ระบุว่าขอบเขตที่โรคระบาดส่งผลกระทบต่อพนักงานนั้นขึ้นอยู่กับวิธีที่นายจ้างตอบสนองต่อวิกฤติเป็นหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การศึกษาของเราชี้ให้เห็นว่าองค์กรต่างๆ สามารถลดผลกระทบด้านลบของการแพร่ระบาดได้โดยการดำเนินมาตรการสนับสนุน

หากสถานที่ทำงานให้การสนับสนุนประเภทนี้ ก็จะทำให้พนักงานรู้สึกมีความมุ่งมั่นมากขึ้น ซึ่งนำไปสู่ความรู้สึกเป็นอยู่ที่ดีของพนักงานมากขึ้น

การสนับสนุนจากองค์กรมีความสำคัญมาก เนื่องจากพนักงานมีความสัมพันธ์ “แลกเปลี่ยนกันซ้ำๆ” กับสถานที่ทำงานของตน พนักงานสละเวลาและความพยายามในสถานที่ทำงานของตน และในทางกลับกัน พวกเขาก็จะได้รับความคาดหวังบางอย่างจากองค์กร เช่น เงินเดือนและความมั่นคงในการทำงาน

การแพร่ระบาดครั้งนี้ถือเป็นช่วงเวลาแห่งความจริงสำหรับคนทำงาน พวกเขาใช้มันเพื่อพิจารณาว่าพวกเขาสามารถพึ่งพาองค์กรของตนเพื่อช่วยเหลือในสถานการณ์วิกฤติได้หรือไม่ เมื่อองค์กรเผชิญกับความท้าทาย พนักงานตระหนักดีว่านายจ้างสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนต่อตนได้สำเร็จ และมีแนวโน้มมากขึ้นที่จะยังคงมุ่งมั่นต่อองค์กรของตน

การสนับสนุนขององค์กรไม่เพียงแต่เกี่ยวกับเงินเท่านั้น องค์กรต่างๆ สามารถช่วยเหลือพนักงานของตนในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้หลายวิธี ในระดับพื้นฐานที่สุด มีมาตรการที่จะช่วยลดความยุ่งยากบางประการที่เกี่ยวข้องกับการทำงานที่จำเป็น ตัวอย่างเช่น การจัดหาอุปกรณ์สื่อสารที่เหมาะสม

ความช่วยเหลือในการตั้งค่าสิ่งอำนวยความสะดวกในการทำงานที่บ้าน และการเพิ่มความยืดหยุ่นในการจัดตารางเวลา ล้วนเป็นวิธีที่ช่วยให้ผู้คนทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้ว่าจะมีความท้าทายใหม่ๆ ก็ตาม นอกจากนี้ องค์กรต่างๆ ยังสามารถแสดงให้พนักงานเห็นว่าพวกเขาใส่ใจ

โดยรับทราบถึงความพยายามพิเศษที่จำเป็นในการทำงานในช่วงการแพร่ระบาด การทำงานในช่วงที่มีโรคระบาดถือเป็นการเล่นกล ผู้นำธุรกิจจำเป็นต้องตระหนักถึงสิ่งนี้และแสดงความขอบคุณต่อพนักงานที่สร้างสมดุลระหว่างงานหลายอย่างและความรับผิดชอบส่วนตัว (เช่น การดูแลเด็กๆ ในช่วงโรงเรียนปิด)

 

สนับสนุนโดย    ufabet เว็บตรง

ปัญหาแดดร้อนส่งผลทำให้บ้านร้อน

ปัญหาที่เกิดจากแดดร้อนที่ส่งผลให้บ้านร้อนมีหลายปัจจัย และมีหลายวิธีที่คุณสามารถลดผลกระทบจากการร้อนของแดดได้. นี่คือบางวิธีที่สามารถช่วยลดปัญหานี้

1.ติดตั้งฉากกันแดด: การติดตั้งฉากกันแดดที่หน้าต่างหรือบนพื้นที่ที่รับแดดมากที่สุดสามารถช่วยลดการเข้าสู่ภายในบ้านของลักษณะรังสีแดดที่สร้างความร้อน

2.ใช้วัสดุกันความร้อน: การใช้วัสดุที่สามารถกันความร้อนได้ดี เช่น ม่านมืด, ม่านริมหน้าต่างที่มีลักษณะกันแสงแดด, หรือวัสดุที่สามารถป้องกันการสะสมความร้อน

3.ติดตั้งที่ระบายความร้อน: การติดตั้งระบบระบายความร้อน เช่น พัดลมติดเพดาน, พัดลมติดผนัง หรือระบบปรับอากาศสามารถช่วยลดความร้อนในบ้าน

4.ปลูกพืช: การปลูกพืชต้นตาลที่มีทรงพุ่มกว้างหรือพืชต้นเต่าที่สามารถสร้างเงื่อนไขเงียบสงบและกันความร้อนได้

5.ทาสีกันความร้อน: การทาสีบนผนังบ้านที่สามารถกันความร้อนได้ เช่น สีที่สามารถสะท้อนแสงแดดมากที่สุด

6.ลดการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้า: เครื่องใช้ไฟฟ้าเป็นต้นแบบของแหล่งความร้อน การลดการใช้หลายๆ เครื่องในเวลาเดียว หรือการใช้เครื่องใช้ที่ไม่ผลิตความร้อนมาก เช่น หลอดไฟ LED สามารถช่วยลดความร้อนภายในบ้าน

7.การฉีดพ่นน้ำ: การฉีดพ่นน้ำในพื้นที่รอบบ้านหรือบนหลังคาสามารถช่วยลดอุณหภูมิในบริเวณนั้น

การผสมผสานวิธีต่างๆ นี้อาจช่วยลดปัญหาของการร้อนจากแดดในบ้านของคุณได้

 การเลือกสีทาเพื่อลดความร้อนของบ้าน สามารถช่วยได้หรือไม่

ใช่, การเลือกใช้สีทาบ้านที่เหมาะสมสามารถช่วยลดความร้อนของบ้านได้. สีทาที่ถูกต้องสามารถมีผลกระทบในการลดความร้อนโดยหลายวิธี

1.สะท้อนแสง: สีทาที่สามารถสะท้อนแสงแดดมากที่สุดจะช่วยลดการดูดความร้อนจากรัฐสี. สีที่มีความสว่าง, สีขาว, หรือโทนสีเย็นมักจะมีคุณสมบัติสะท้อนแสงแดดได้ดี

2.ความสว่างของสี: สีที่มีความสว่างมักจะรับน้อยลงความร้อนเมื่อเทียบกับสีที่มีความเข้ม. สีทาที่สามารถสร้างการเงียบเหงาในบ้านสามารถช่วยลดความร้อน

3.การสร้างความเย็น: สีทาที่มีโทนสีเย็น เช่น สีฟ้าหรือเขียว, มักจะให้ความรู้สึกถึงความเย็น. สีเหล่านี้สามารถช่วยลดความร้อนที่ถูกดูดซึมเข้ามาในบ้าน

4.การทนต่อแสงแดดและอากาศ: การเลือกใช้สีทาที่มีคุณสมบัติทนต่อแสงแดดและสภาพอากาศ ช่วยให้สีทามีอายุการใช้งานที่ยาวนานและคงทนต่อสภาพแวดล้อม

5.สีทาที่ป้องกันรังสี UV: การเลือกสีทาที่มีคุณสมบัติป้องกันรังสี UV ช่วยปกป้องไม่ให้รังสี UV เข้าสู่ภายในบ้าน, ลดความร้อนและปรับปรุงการป้องกันสภาพอากาศ

การเลือกใช้สีทาที่เหมาะสมสามารถเป็นส่วนสำคัญในการจัดการความร้อนในบ้าน, ซึ่งสามารถช่วยลดการใช้พลังงานในการรักษาอุณหภูมิในบ้าน, ลดค่าใช้จ่ายในการทำความเย็น, และสร้างสภาพความสะดวกสบายในชีวิตประจำวัน

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย    ufabet

“กรุงรัตนโกสินทร์” เป็นชื่อที่ใช้เรียกเมืองหลวงของประเทศไทย

สำหรับ”กรุงรัตนโกสินทร์” เป็นชื่อที่ใช้เรียกเมืองหลวงของประเทศไทย โดยก่อนที่จะมีการเปลี่ยนชื่อเป็น “กรุงเทพมหานคร” ในปี 2477 จากนั้นกรุงรัตนโกสินทร์กลายเป็นอดีตของกรุงเทพมหานครที่เรารู้จักในปัจจุบัน นี่คือบางข้อมูลเกี่ยวกับอดีตของกรุงรัตนโกสินทร์

1.ต้นกำเนิด  กรุงรัตนโกสินทร์ถูกสร้างขึ้นในปี 1782 โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจักรราชอรรฆย์ (พระรามที่ I) เมื่อเขาย้ายกรุงศรีอยุธยามาตั้งที่ใหม่ หลังจากที่กรุงศรีอยุธยาถูกทำลายในสงครามกรุงศรีอยุธยา

2.สถาปัตยกรรม  กรุงรัตนโกสินทร์ได้รับการก่อสร้างโดยความหลากหลายทางศิลปะและสถาปัตยกรรม โดยเฉพาะทางด้านวัดและพระราชวัง ที่มีพระบรมมหาราชวังและวัดอรุณราชวรารามเป็นต้น

3.เมืองประตูมั่น  ชื่อ “รัตนโกสินทร์” มีความหมายว่า “ประตูมั่น” หรือ “ป้อมประตูที่แข็งแกร่ง” ซึ่งน่าจะมีต่อต้านการรุกราน และเป็นสัญลักษณ์ของความคงทนและแข็งแกร่งของเมือง

4.การพัฒนา  กรุงรัตนโกสินทร์ได้รับการพัฒนาต่อเนื่องในระหว่างการปกครองของพระบาทสมเด็จพระจุลจักรราชอรรฆย์ และต่อมาในสมัยรัชกาลต่อๆ มา

5.สถานที่ประวัติศาสตร์  มีหลายสถานที่ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ในกรุงรัตนโกสินทร์ เช่น พระบรมมหาราชวังที่เป็นที่อยู่ของพระราชวังและพระบรมศพของพระมหากษัตริย์ วัดอรุณราชวรารามที่มีพระแก้วมรกตและพิพิธภัณฑ์พระนคร

6.การเปลี่ยนแปลง  ในระหว่างประวัติศาสตร์ กรุงรัตนโกสินทร์ได้รับการเปลี่ยนแปลงทั้งในด้านสถาปัตยกรรมวัฒนธรรม และการเมือง ทำให้เกิดเป็นเมืองที่ทันสมัยและหลากหลายทางด้าน

ในสมัยโบราณ กรุงรัตนโกสินทร์มีความสำคัญมากเนื่องจากเป็นเมืองหลวงของราชวงศ์ชั้นสูงและสถานที่ที่มีความสำคัญทางการท่องเที่ยว วัฒนธรรม และการค้า นี่คือบางจุดที่สำคัญของกรุงรัตนโกสินทร์ในสมัยนั้น

1.เมืองหลวงของราชวงศ์ชั้นสูง  กรุงรัตนโกสินทร์เป็นที่ตั้งของพระบรมมหาราชวังที่เป็นที่อยู่ของพระมหากษัตริย์และราชวงศ์ไทย เมืองนี้มีบทบาทสำคัญในการปกครองและพัฒนาประเทศ

2.ศูนย์กลางทางศาสนา  วัดอรุณราชวราราม (วัดพระแก้ว) เป็นที่ตั้งของพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว และมีประวัติทางศาสนาที่สำคัญ นอกจากนี้ยังมีวัดที่มีความสำคัญมากอื่นๆ ที่มีบทบาทในการสืบทอดศาสนาและวัฒนธรรมไทย

3.ศูนย์การค้า กรุงรัตนโกสินทร์เคยเป็นศูนย์การค้าที่สำคัญในภูมิภาคเอเชียตะวันออก และมีการค้ากับประเทศต่าง ๆ ทำให้เมืองนี้เติบโตและมีความร่ำรวย

4.สถานที่ท่องเที่ยว มีวัดและสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญมากมายในกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งเป็นที่ประทับของนักท่องเที่ยวทั่วโลก

5.การสร้างสถาปัตยกรรมที่สำคัญ กรุงรัตนโกสินทร์มีสถาปัตยกรรมที่สวยงามและมีความเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งเป็นที่ท่องเที่ยวสำคัญ

6.สถานที่จัดกิจกรรมสำคัญ เมืองนี้มีการจัดกิจกรรมทางวัฒนธรรม พิธีกรรม และงานสังสรรค์ต่าง ๆ ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และทางวัฒนธรรม

ทั้งนี้ทำให้กรุงรัตนโกสินทร์มีบทบาทสำคัญในการรวมรวมสังคมไทยในสมัยโบราณ และมีผลทำให้ประเทศไทยมีอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่หลากหลายและน่าสนใจมากยิ่งขึ้น

 

สนับสนุนเนื้อหานี้โดย  ufabet เว็บหลัก

ประวัติวัดอนงคารามวรวิหาร  กรุงเทพฯ 

  สำหรับวัดอนงคารามวรวิหาร  นั้นคือ วัดที่มีความสำคัญทางด้านพระพุทธศาสนา และยังเป็นวัดที่จุดแต่งตั้งให้เป็นวัดพระอารามหลวงชั้นโท  โดยวัดแห่งนี้นั้นอยู่ตรงบริเวณถนนสมเด็จเจ้าพระยาซึ่งอยู่ในเขตพื้นที่คลองสาน  จังหวัดกรุงเทพฯ

เป็นวัดที่ถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 3  โดย ผู้ที่มีเจตจำนงในการที่จะสร้างวัดแห่งนี้ขึ้นมานั้นก็คือท่านผู้หญิงน้อย 

ซึ่งพระองค์นั้นเป็นภรรยาของสมเด็จพระเจ้าบรมมหาพิชัยญาติหรือที่คนในสมัยโบราณนั้นเรียกกันว่าสมเด็จพระยาองค์น้อย   หรืออีกชื่อก็คือ ทัด บุนนาค   นั่นเอง 

สำหรับวัดอนงคารามวรวิหาร  นั้น หลังจากที่มีการสร้างเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้วท่านผู้หญิงน้อยและสมเด็จพระเจ้าพระยาองค์น้อยนั้นก็ได้มีการถวายวัดแห่งนี้ให้กับรัชกาลที่ 3 เพื่อเป็นวัดพระอารามหลวง  

โดยมีการตั้งชื่อวัดว่า  วัดน้อยขำแถม  ซึ่งเป็นการใช้ชื่อของท่านผู้หญิงน้อยผสมกับชื่อของเจ้าพระยาทิพากรวงมหาโกษาธิบดี  ที่มีชื่อเล่นว่าขำ  นำมาผสมกันเนื่องจากว่าเจ้าพระยาโกษาทิพากรวงษ์มหาโพษาธิบดีก็มีความสำคัญในการสร้างวัดน้อยคำแถมเช่นเดียวกันเพราะเป็นผู้ปฏิสังขรณ์วัดแห่งนี้ขึ้นมา

gclub   ดังนั้นจึงได้มีการนำชื่อของผู้ที่มีเจตจำนงในการก่อสร้างวัดแห่งนี้มารวมกันกลายเป็นชื่อวัดน้อยคำถามนั่นเอง

อย่างไรก็ตามเมื่อมีการถวายให้กับรัชกาลที่ 9 และได้ถูกแต่งตั้งเป็นวัดพระอารามหลวงชั้นโทเป็นที่เรียบร้อยแล้วเมื่อถึงยุคในสมัยของรัชกาลที่ 4 พระองค์ก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงชื่อวัดคำแขมขึ้นมาใหม่โดยชื่อใหม่นั้นถูกตั้งให้เป็นชื่อว่า วัดอนงคารามวรวิหาร  เพื่อให้เหมาะสมกับการเป็นวัดพระอารามหลวง

โดยภายในพื้นที่ของวัดนั้นก็ไม่ได้มีการก่อสร้างศาสนสถานไว้เยอะแยะมากมายเต็มไปหมดโดยเฉพาะอย่างยิ่งได้มีการก่อสร้างพระพุทธจุลนาคซึ่งเป็นพระพุทธรูปในสมัยกรุงสุโขทัยนำมาประดิษฐ์ฐานไว้ในพระวิหารเพื่อให้ประชาชนได้เข้าไปกับไหว้บูชา พระพุทธชินราชนั้นนับได้ว่าเป็นพระประธานของ วัดอนงคารามวรวิหาร นั่นเอง 

นอกจากนี้ภายในวัดนั้นยังมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่นๆเยอะแยะมากมายอย่างเช่นพระพุทธรูปพระสาวก  เช่นพระพุทธมังคโล  และยังมีพระมณฑป   รวมถึงพระพุทธไสยาสน์จำลอง   ที่สำคัญภายในบริเวณวัดนั้นยังได้มีการสร้างพิพิธภัณฑ์ขึ้นมาเปรมพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นเขตคลองสาน

เพื่อเป็นการบอกเล่าเรื่องราวความเป็นมาและวิถีชีวิตของชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในเขตคลองสานตั้งแต่ยุคในสมัยโบราณให้ประชาชนที่สนใจศึกษาข้อมูลของคนในยุคอดีตได้เข้ามาศึกษาหาความรู้กันอีกด้วย 

ประวัติ วัดมกุฏกษัตริยารามราชวรวิหาร  กรุงเทพฯ 

วัดมกุฏกษัตริยารามราชวรวิหาร จากประวัติความเป็นมาของ วัดมกุฏกษัตริยารามราชวรวิหาร นั้นว่ากันว่าถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่ในสมัยของบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

โดยมีวัตถุประสงค์อย่างที่จะให้มีวัดเกิดขึ้นเยอะๆเหมือนกับสมัยของกรุงศรีอยุธยาดังนั้นหลายจากที่มีการขุดคลองผดุงกรุงเกษมเสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้วพระองค์จึงได้มีการส่งโปรดเกล้าให้มีการสร้างวัดบริเวณชายคลอง

  ซึ่งในตอนแรกนั้นมีการเริ่มสร้างวัดโสมนัสราชวรวิหาร  หลังจากนั้นจึงได้มีการโปรดเกล้าให้สร้าง วัดมกุฏกษัตริยารามราชวรวิหาร ขึ้นมาเพื่อให้เปลี่ยนวัดที่เคียงคู่กัน 

จากหลักฐานความเป็นมาของการก่อสร้างวัดนั้นไม่ได้มีการระบุว่าวัดแห่งนี้เริ่มมีการก่อสร้างขึ้น

เมื่อใดแต่มีการระบุเกี่ยวกับการก่อสร้างวัดหลังจากที่มีการแล้วเสร็จว่ามีการสร้างเสร็จสิ้นช่วงประมาณปีพ.ศ 2411    ซึ่งหลังจากที่มีการสร้างวัดแห่งนี้เสร็จสิ้นแล้วรัชกาลที่ 4 ก็ได้มีการโปรดเกล้าแต่งตั้งชื่อวัดว่าวัดนามบัญญัติ  ปัจจุบันวัดแห่งนี้ได้รับการเปลี่ยนชื่อใหม่ซึ่งเป็นชื่อพระราชทานโดยมีการเปลี่ยนชื่อภายหลังจากที่รัชกาลที่ 4 สวรรคตโดยชื่อใหม่นั้นก็คือ  วัดมกุฏกษัตริยารามราชวรวิหาร  นั่นเอง 

สำหรับผู้ที่เข้ามาดูแลในการก่อสร้าง วัดมกุฏกษัตริยารามราชวรวิหาร แห่งนี้ก็คือสมเด็จพระเจ้ายาบรมมหาศรีสวัสดิ์สุริยวงศ์

  โดยรับหน้าที่เป็นแม่กลองในการเข้าควบคุมเกี่ยวกับเรื่องของการก่อสร้างส่วนในช่างที่เป็นผู้ดูแลเกี่ยวกับการก่อสร้างโดยตรงนั้นก็คือพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมขุนราชสีห์หากวิกรม  

สำหรับ วัดมกุฏกษัตริยารามราชวรวิหาร เป็นวัดที่มีการก่อสร้างในช่วงยุคกรุงรัตนโกสินทร์  สิ่งที่เป็นหลักฐานทางประวัติอย่างดีที่บ่งบอกว่าวัดแห่งนี้สร้างในสมัยรัชกาลที่ 4

ก็คือ ลายพระมหามงกุฏ ซึ่งเป็นตราประจำของรัชกาลที่ 4 นั่นเอง โดยตราประทับนี้มีการสร้างเอาไว้ด้านบนของซุ้มประตูและที่หน้าบันของทั้งพระอุโบสถและพระวิหาร  นอกจากนี้ถ้าหากใครได้มีโอกาสเข้าไปเยี่ยมชมความงดงามภายในอุโบสถจะพบว่าผนังด้านในของพระอุโบสถนั้นมีการวาดภาพจิตรกรรมที่มีความแตกต่างจากวัดอื่นๆ 

โดยส่วนใหญ่แล้วจะมีการวาดภาพเกี่ยวกับการบำเพ็ญกรรมฐานของพระสาวกในบาลีและอรรถกถา  และยังมีอื่นๆอีกมากมาย 

สำหรับการก่อสร้างวัดมกุฏกษัตริยารามราชวรวิหาร นั้นมีลักษณะของการก่อสร้างคล้ายเคียงกับวัดโสมนัสวิหารเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นวัดที่สร้างคู่กัน ซึ่งความคล้ายคลึงกันนี้ก็คือ จะมีการสร้างเสมาเอาไว้ 2 ชั้น โดยชั้นแรกนั้น มีชื่อว่า มหาสีมา ส่วนชั้นที่สองนั้นเรียกว่า ขัณฑสีมา  ทำให้พระสงฆ์ที่อยู่ที่วัดแห่งนี้สามารถทำการประชุมสังฆกรรมได้ทั้งในพระอุโบสถและพระวิหารเลยทีเดียว 

 

ผู้ให้การสนับสนุนโดย  ufabet

ประวัติวัดอรุณเกาะรัตนโกสินทร์ กรุงเทพมหานคร   

วัดอรุณเป็นวัดทรงจรวดที่ตั้งตระหง่านจากริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา รู้จักกันในชื่อวิหารแห่งรุ่งอรุณ โดยตั้งชื่อตามเทพเจ้าแห่งรุ่งอรุณของอินเดียชื่ออรุณ ที่นี่เองหลังจากการล่มสลายของกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงสะดุดกับศาลท้องถิ่นเล็กๆ และทรงตีความการค้นพบนี้ว่าเป็นสัญญาณอันเป็นมงคลว่าที่นี่ควรเป็นที่ตั้งของเมืองหลวงแห่งใหม่ของสยาม  

ปัจจุบันวัดแห่งนี้เป็นหนึ่งในโครงสร้างที่โดดเด่นที่สุดของกรุงเทพฯ ไม่ต้องพูดถึงวัดพุทธไม่กี่แห่งที่คุณได้รับการสนับสนุนให้ปีนขึ้นไป    

จนกระทั่งเมืองหลวงและพระแก้วมรกตถูกย้ายมาที่กรุงเทพ วัดอรุณจึงมีลักษณะที่โดดเด่นที่สุด นั่นก็คือ þrahng (หอคอยสไตล์เขมร) ที่มีความสูง 82 เมตร การก่อสร้างหอคอยนี้เริ่มต้นในช่วงครึ่งแรกของคริสต์ศตวรรษที่ 19 โดยพระรามที่ 2 และต่อมาแล้วเสร็จโดยพระรามที่ 3 (พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ร. 2367–51)

บันไดสูงชันนำไปสู่ด้านบนซึ่งมองเห็นทิวทัศน์อันน่าทึ่งของแม่น้ำเจ้าพระยา สิ่งที่มองไม่เห็นจากระยะไกลคือกระเบื้องโมเสกลายดอกไม้อันวิจิตรงดงาม

ซึ่งทำจากเครื่องกระเบื้องจีนที่แตกหักหลายเฉดสี ซึ่งเป็นของประดับประจำวัดในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น เมื่อเรือของจีนแล่นมาที่ท่าเรือกรุงเทพฯ ได้ทิ้งเครื่องกระเบื้องเก่าจำนวนมากเป็นบัลลาสต์

ว่ากันว่าพระประธานในวัดว่ากันว่าออกแบบโดยพระราม 2 เอง ภาพจิตรกรรมฝาผนังมีอายุตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 

สิ่งที่น่าประทับใจอย่างยิ่งคือภาพที่เจ้าชายสิทธัตถะเผชิญตัวอย่างการเกิด แก่ เจ็บ และตายนอกกำแพงพระราชวัง ซึ่ง  ufabet   เป็นประสบการณ์ที่ทำให้เขาละทิ้งชีวิตทางโลก พระอัฐิของรัชกาลที่ 2 ฝังไว้ที่ฐานพระประธาน   วัดในบริเวณวัดอรุณตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 16 เป็นอย่างน้อย นักประวัติศาสตร์เชื่อว่าวัดมะกอกเดิมที่ทราบกันดีว่าก่อตั้งขึ้นริมฝั่งคลองลัด แต่จนกระทั่งปี พ.ศ. 2310 เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินเสด็จข้ามวัด จึงมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์อย่างแท้จริง

สมเด็จพระเจ้าตากสินเสด็จข้ามสถานที่นี้ตอนพระอาทิตย์ขึ้นขณะหลบหนีผู้รุกรานจากพม่า ทรงตั้งสถานที่แห่งนี้เป็นวัดในวังและเปลี่ยนชื่อเป็นวัดแจ้ง จากนั้นวัดแห่งนี้ได้รับเลือกให้เป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตซึ่งเป็นแพลเลเดียมที่น่ากลัวของประเทศไทย เมื่อถูกนำข้ามมาจากเวียงจันทน์ เมืองหลวงของประเทศลาวในปัจจุบัน ปัจจุบันอยู่ฝั่งตรงข้ามแม่น้ำในวัดพระแก้ว

เมื่อกรุงเทพกลายเป็นเมืองหลวงใหม่ของประเทศไทย วัดก็เปลี่ยนชื่ออีกครั้งโดยพระรามที่ 2 คราวนี้เป็นวัดอรุณ รัชกาลที่ 2 ยังได้เริ่มขยาย þrahng ส่วนกลาง ซึ่งต่อมาสร้างเสร็จในปี พ.ศ. 2385 ในสมัยรัชกาลที่ 3 นอกจากงานบูรณะ þrahng บางส่วนซึ่งแล้วเสร็จในปี 2017 แล้ว ยังมีอะไรเปลี่ยนแปลงอีกเล็กน้อยที่วัดอรุณ

รสชาติความเร่งรีบที่ไม่มีใครหยุดยั้งได้ของเกาหลีใต้

ผู้คนเปลี่ยนจากการปลูกข้าวมาสู่การดาวน์โหลดทอร์เรนต์ในเวลาเพียงไม่กี่ทศวรรษได้อย่างไร ในตอนเย็นเมื่อเร็วๆ นี้ที่ร้านอาหาร Ttobagi Driver’s ในเขต Gwanak ของกรุงโซล ฉันแอบเริ่มจับเวลาเมื่อสั่งอาหาร บริกรสาวเดินจากไปอย่างสบายๆ กลับมาพร้อมกิมจิและเครื่องเคียงอื่นๆ

เพียงสองนาที 20 วินาทีต่อมา หนึ่งนาทีครึ่งหลังจากนั้น ชามดินเผาของ พยอดากวี แฮจังกุก (ซุปกระดูกสันหลังหมู ‘อาการเมาค้าง’)

ก็ถูกวางลงบนโต๊ะ และนึ่งอย่างเดือดดาล เป็นเรื่องที่น่าทึ่งมากที่บริการดังกล่าวมีอยู่ในประเทศที่ไม่มีการให้ทิป สิ่งที่น่าทึ่งกว่านั้นคือ Ttobagi ซึ่งเป็นจุดที่ไม่โอ้อวดที่คนขับแท็กซี่แวะเวียนมานั้นไม่ได้เร็วกว่าสถานที่ถัดไป ความรวดเร็วประจำกิจวัตรดำเนินไปในสังคมเกาหลีใต้

และแพร่หลายโดยเฉพาะในเมืองหลวง มีแม้กระทั่งคำที่ใช้เรียกสิ่งนี้: วัฒนธรรมปปัลลี ปัลลี แปลว่า เร็ว หรือ รีบ ปัลลี ออกเสียงด้วยพยัญชนะตัวแรกที่เน้นเสียงราวกับว่าหักเสียงร้องเหมือนหนังยาง

แนวโน้มของ ppalli-ppalli สามารถเห็นได้จากความเร็วอินเทอร์เน็ตชั้นนำของโลกของเกาหลีใต้ ชั้นเรียนภาษาที่เข้มข้นซึ่งมีแนวโน้มว่าจะได้ผลในทันที และกิจกรรมการออกเดทที่รวดเร็วยอดนิยม และเช่นเดียวกับการใส่ใจเรื่องเวลาก็คือห้องจัดงานแต่งงานที่หรูหราซึ่งจัดพิธีต่อเนื่องยาวนานชั่วโมงตลอดสุดสัปดาห์ Ppalli-ppalli ยังเป็นคำขวัญของนักขี่มอเตอร์ไซค์ส่งอาหารหลายพันคนที่ฝ่าฝืนกฎจราจร

และดูเหมือนว่าจะส่งคำสั่งซื้อหลังเร่งรีบด้วย ในการแข่งขัน McDonald’s ซึ่งเป็นผู้นำระดับโลกในด้านอาหารจานด่วน ได้เริ่มประกอบกลุ่มสกู๊ตเตอร์จัดส่งของตนเองในเกาหลีใต้ในปี 2550 แต่ไม่นานมานี้ เกาหลีชะลอตัวลงมากเนื่องจากสภาพความเป็นชนบท ในปี 1960

ประชากรมากถึง 72% อาศัยอยู่ในชนบท แล้วผู้คนเปลี่ยนจากการปลูกข้าวมาเป็นการดาวน์โหลดทอร์เรนต์ในเวลาเพียงไม่กี่ทศวรรษได้อย่างไร แกรี เร็คเตอร์ พลเมืองเกาหลีที่แปลงสัญชาติ ซึ่งมาถึงโซลในฐานะอาสาสมัครหน่วยสันติภาพในปี 1967 เล่าว่า “ฉันจำได้ว่าเคยแปลกใจ

เพราะก่อนที่ฉันจะมาที่นี่ ฉันมีความคิดแบบเหมารวมว่าพวกเขาจะหมดสติ นั่งสมาธิ และ ใช้ชีวิตอย่างช้าๆ แต่ฉันพบว่าผู้คนมักจะเร่งรีบมากกว่าที่คนอเมริกันทำ ผู้สูงอายุเดินช้ากว่า แต่คนที่อายุเท่าฉันและฉันอายุ 24 ปี ยุ่งมากกับการพยายามปรับปรุงวิถีชีวิตของพวกเขา” อธิการบดีมาในช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรง ในช่วงต้นทศวรรษที่ 60

เกาหลีใต้ได้เริ่มแผนเศรษฐกิจระยะ 5 ปีหลายชุดที่เสนอโดยประธานาธิบดีปาร์ค จุง-ฮี ในขณะนั้น แคมเปญในรูปแบบทหารเหล่านี้นำมาซึ่งปาฏิหาริย์บนแม่น้ำฮัน (การเปลี่ยนแปลงจากประเทศที่ถูกทำลายด้วยสงครามไปสู่มหาอำนาจทางเศรษฐกิจ) และก่อตั้งบริษัท Korea Inc ซึ่งนำเสนอโดยบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Samsung, Hyundai และ LG ด้วย

 

สนับสนุนโดย    UFABET เว็บตรง

ประวัติศาสตร์แห่งเมืองกรุงเก่าศรีอยุธยา    

 

        การปกครองในสมัยกรุงศรีอยุธยา     กรุงศรีอยุธยาปกครองโดยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ซึ่งมีกษัตริย์สูงสุดปกครองแผ่นดิน ทรงมอบหมายให้เจ้านายและเจ้าเมืองบริหารเมืองเรือ (เมืองลูกหลวง หลานหลวง) และเมืองชายแดน ทำหน้าที่เป็นหูเป็นตาให้เขา การพึ่งพาอาศัยกัน

โดยราชวงศ์เก่าและขึ้นอยู่กับกรุงศรีอยุธยา   พระบาทสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงปฏิรูปการปกครองและลดอำนาจจังหวัดลง 

พระองค์ทรงแบ่งฝ่ายบริหารออกเป็น 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายกิจการทหารที่รับผิดชอบโดยสมุหกะลาหอม และฝ่ายพลเรือนที่รับผิดชอบโดยสมุหนายก (นายกรัฐมนตรี) กิจการพลเรือนแบ่งออกเป็น 4 สำนัก เรียกว่า “จตุรัสโดม”  เสาหลักทั้ง 4  เช่น กรมมาเวียงหรือนครบาล

สำหรับเมืองและการปกครองส่วนท้องถิ่น กรมมาวังหรือธรรมาธิกรสำหรับกิจการพระราชวัง กรมคลังหรือโกษาธิบดีเพื่อการค้าและการต่างประเทศ และกรมนาหรือเกษตรกรรม ระบบการบริหารนี้มีใช้มาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา

การปกครองในสมัยกรุงศรีอยุธยา   สังคมกรุงศรีอยุธยาแบ่งออกเป็น 2 ชนชั้น คือ ชนชั้นสูงหรือเจ้านายที่ประกอบด้วยกษัตริย์ซึ่งดำรงตำแหน่งสูงสุดเช่นประมุข ชนชั้นที่ 2 คือ ราชวงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัด และขุนนาง ซึ่งอยู่ร่วมกันระหว่างกษัตริย์กับพลเมือง ทำหน้าที่ปกครองชาวนาและทาส  

ชาวนาก็เป็นพลเมืองธรรมดาเช่นเดียวกับคนส่วนใหญ่ในสังคม กฎหมายกำหนดให้ชาวนาต้องเป็นของนาย เป็นระบบการควบคุมกำลังคนของราชการ ชาวนาถูกคัดเลือกเข้ารับราชการในหลวงประมาณ 6 เดือน ส่วนชาวนาที่ไม่ต้องการจ้างก็ต้องจ่ายเงินหรือสิ่งตอบแทนที่เรียกว่า “สวย” ชาวนาจะไม่ได้รับเงินเดือน

แต่จะได้รับความคุ้มครองจากนายที่ตนสังกัดอยู่   ทาสเป็นงานของนายมาตลอดชีวิต เกิดจากสงครามและเศรษฐกิจ ทายาทของทาสจะได้รับการเลี้ยงดูจากนายไปตลอดชีวิต

การค้าและเศรษฐกิจ   อาชีพหลักของชาวกรุงศรีอยุธยา  จะประกอบอาชีพทางด้านเกษตรกรรมเป็นหลัก  ข้าวเป็นผลิตภัณฑ์สำคัญที่สามารถผลิตได้เพียงพอสำหรับพลเมืองของประเทศและเป็นสินค้าสำคัญที่พระนครศรีอยุธยาส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศ  

เนื่องจากกรุงศรีอยุธยาเป็นศูนย์กลางการค้าที่สำคัญของโลก  ทางเข้ายูฟ่าสล็อต     จึงได้รับรายได้จากทั้งการส่งความโกลาหลมาค้าขายกับต่างชาติและการเป็นคนกลาง ราชสำนักได้จัดตั้งโกดังเพื่อผูกขาดสินค้าสำคัญบางรายการซึ่งพ่อค้าชาวต่างประเทศจะต้องซื้อและขายกับราชสำนักเท่านั้น

  การค้าระหว่างประเทศอยู่ภายใต้กรมคลัง (การเงิน) ซึ่งดูแลโดยอัคยา ศรีธรรมราช ในระยะแรกแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย คือ กรมท่าขวา สังกัดเจ้าเมืองอินเดีย หรือ จุฬาราชามนตรี ที่ดูแลการค้าขายกับโลกตะวันตก และ กรมท่าสาย สังกัดเจ้าเมืองของจีน ชื่อ พระยาโชติกราชเศรษฐี ซึ่งดูแลการค้าขายกับโลกตะวันออก 

ต่อมาในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลายเมื่อชาวยุโรปเข้ามาค้าขายมากขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้มีการจัดตั้งแผนกขึ้นอีกแผนกหนึ่งคือ กรมท่ากลาง สังกัดเจ้าเมืองต่างด้าว   กษัตริย์และเจ้าเมืองมีความเกรี้ยวกราดในการค้าขายกับต่างชาติ ชาวจีนส่วนใหญ่ทำงานเป็นนายเรือและลูกเรือ สินค้าส่งออกของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา

ได้แก่ สินค้าเกษตร ศิลาดล และสินค้าจากป่าไม้ เช่น งาช้าง หนัง ไม้ เครื่องเทศ แร่ และอื่นๆอีกมากมาย    รายได้หลักของราชสำนักส่วนหนึ่งมาจากบรรณาการ สวย ภาษี โดยเฉพาะภาษีการค้าระหว่างประเทศ การค้าขายภายในย่านธุรกิจตลอดจนตลาดขนาดเล็กและขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ทั้งในและนอกเมืองทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางและจุดเปลี่ยนของสินค้า

ตลาดในอยุธยามี 2 ประเภท คือ ตลาดน้ำขนาดใหญ่ประมาณ 4 แห่ง และตลาดประมาณ 72 แห่ง ได้แก่ ชานเมือง 32 แห่ง และในตัวเมือง 40 แห่ง ย่านธุรกิจและตลาดเหล่านี้ประกอบด้วยตลาดสดทั้งกลางวันและกลางคืน และตลาดที่จำหน่ายของใช้ประจำวัน (ของชำ) และสินค้าประจำตัวของแต่ละไตรมาสในทุกๆปี